“เรียนจบแล้วจะทำอะไรต่อ?”
เราเชื่อว่าคำถามนี้เป็นคำถามที่เด็กปี 4 เด็กกำลังจะจบ และ เด็กจบใหม่จะต้องเจอทุกวี่ทุกวัน มันเป็นประเด็นที่ให้ตายยังไงก็โดนถาม เป็นประเด็นแรกที่เอาไว้เริ่มบทสนทนาเมื่ออีกฝ่ายรู้ว่าเราอยู่ในช่วงที่เรียนจบ ฯลฯ
บอกตามตรงว่าอย่างเราก็อึดอัดมากเวลาโดนคำถามนี้ เพราะเราคือหนึ่งในคนที่ยังไม่มีทิศทางชีวิตใดๆเลย แบบว่าพยายามหาคำตอบแต่จนปี 4 เทอม 2 แล้วเราก็ยังหาคำตอบไม่ได้
ณ ตอนเราอยู่ปี 4 เรามีวางแผนชัดเจนไว้แค่ เรียนจบ -> ไป WAT -> กลับมารับปริญญา -> ???
ตอนแรกก็กะว่า เอ้อ หรือไว้ค่อยคิดตอนไปอยู่ WAT แล้วดีนะ ว่าจะเอายังไง เรียนหรือทำงาน แต่ถ้าคิดจะเรียนต่อ มันก็ต้องสอบ ต้องเตรียมตัวแล้วตั้งแต่ปี 4 เทอม 1 ซึ่งตอนที่เราคิดได้อ่ะ มันก็ไม่ทันแล้ว มันปาเข้าไปจะจบเทอม 1 อยู่แล้ว ให้ไปเตรียมตัวสอบลวกๆเลือกมหาลัยฯงงๆภายในมีนาเราไม่เอาหรอก ไม่ชอบความเสี่ยงแบบนั้น (แต่จะคิดไปงมอนาคตตัวเองหลังกลับจากเมกาเนี่ยนะ…)
ก็เลยตัดสินใจว่า อ่ะ งั้นกะว่าจะหางานละกัน แต่ไม่กดดันตัวเอง ไม่รีบหา เพราะยังไม่รู้เลยว่าอยากทำอะไร ไอ้ที่อยากลองเพราะไม่ได้คว้าโอกาสตอนมหาลัยพ่อแม่ก็ไม่สนับสนุน (ถ่ายรูป ทำกราฟฟิค ตัดต่อ เข้าสายทำฟิลม์) มาร์เก็ตติ้งก็ไม่อยากทำ บริษัทไทยก็ไม่อยากเข้า อยากเลือก ไม่อยากลอง กลัวเสียเวลาชีวิต เอ้า เรื่องมากอีกอ่ะ 5555
ด้วยความไม่รีบและเรื่องมาก ทำให้เรามองหางานไปเรื่อยๆ ไม่สมัคร ตลอดปี 4 จนเรียนจบ แล้วก็ไปเวิร์คฯ ตอนไปเวิร์คนี่ไม่คิดถึงเรื่องหางานเลยล่ะ ใช้ชีวิตอย่างเดียว ถ้าใครได้อ่านบล็อกทั้งหมดเรามาก่อนก็จะรู้ว่าเวลาคุ้มแค่ไหน 55555555
กลับมาถึงไทยกลางเดือนกันยาฯ เรามีเวลาประมาน 1 เดือนก่อนรับปริญญา ก็ยังไม่คิดอะไรมาก กะว่าจัดการเรื่องรับปริญญาให้เสร็จก่อนก็แล้วกัน เพราะมีเรื่องให้ทำเยอะมากกกกกก ซึ่งเรื่องนี้ไว้จะแยกไปอีกหัวข้อเลย การเป็นบันฑิตในประเทศไทยนี่เหนื่อยจริงๆ พิธีกรรมอะไรเยอะแยะก็ไม่รู้ ขนาดงานฉลองเรายังขี้เกียจไปเลยอ่ะ เหนื่อยมาก ฮื่อ T_T
HOWEVER ค่ะคุณผู้ชม ระหว่างที่เรายังใช้ชีวิตวิ่งเล่นว่างๆ(ประมานนึง)ไปวันๆ เราก็จะได้เห็นเพื่อนไปเรียน ไปทำงาน เวลาเราไปหาเพื่อนเราก็จะงงๆ เข้าไม่ถึง เพราะเพิ่งทำงานกันได้ไม่นานมาก เพื่อนก็จะพูดถึงแต่เรื่องการทำงาน ระบบที่ทำงาน เล่านี่บ่นนั่นอย่างออกรสชาติตามคนที่เค้าเข้าใจกัน ส่วนเราก็ได้แต่นั่งเงียบ พยักหน้า แล้วก็ถาม “จริงหรอ” “จริงดิ” “ทำไมอ่ะ” วนไป ตอนนั้นเจอเพื่อนบ่อยมาก แต่เราก็แอบรู้สึกเหงาอยู่ดี เพราะร่วมวงด้วยแล้วก็ยังรู้สึกเหมือนคนนอก
สุดท้ายจะบอกว่ายังไม่คิดมากเรื่องไม่หางาน ไม่เรียนต่อ มันก็ไม่จริงแล้วหล่ะ โคตรเครียดเลยตอนนั้น แต่เพราะมีเรื่องรับปริญญาเลยยังพอมีอะไรให้คิดให้ทำไม่ฟุ้งซ่าน ไม่กดดันตัวเองมากไป แต่ถึงเราจะไม่กดดันตัวเอง คนรอบข้างนั่นแหละก็จะมากดดันเราเอง โดยเฉพาะพ่อกับแม่
โดนถามทุกวัน “สมัครงานยัง” “สมัครไปกี่ที่แล้ว” “สรุปจะทำอะไร คิดรึยัง” โอ้โห โดนถามถี่มากขึ้นๆจนรำคาญอ่ะ แบบเราไม่ใช่ไม่หานะ แต่มันงมไม่เจอจริงๆ งงจริงๆ ไม่สามารถตอบได้อ่ะ หลังๆเลยได้จะเหวี่ยงๆตอบทุกคนว่า “ไม่รู้!” รู้สึกผิด แต่กดดันกันแบบนั้นเราก็ทำตัวไม่ถูกจริงๆ ฮือ (,_,)
แต่จริงๆระหว่างที่โดนกดดันนั้น เราก็ได้ลองออกไปถ่ายรูปงานรับปริญญาดูนะ ส่วนใหญ่ถ่ายฟรี เพราะไม่เคยถ่าย และมีความมั่นใจในตัวเองเป็น 0 เลยไม่กล้าเรียกเงินใคร และเป็นการลองเชิงว่าตัวเองจะโอเคกับงานแบบนั้นไหม เป็นช่างภาพงี้ ถ้าจะลองทำจริงๆไม่ว่าจะแบบฟรีแลนซ์เต็มๆหรืองานประจำก็ตาม
ผลที่ได้คือพบว่าตัวเองก็ยังขี้เขินเหมือนเดิม ไม่ค่อยกล้าสั่งให้ใครแอคท่า คิดท่าไม่ออก หามุมถ่ายรูปไม่ได้ กระตือรือร้นได้ไม่สุด แอคทีฟไม่พอ บันฑิตบ่นเหนื่อยปุ้ปเราก็จะเหนื่อยตามทันที จากการที่ได้จ้างช่างภาพเองแล้ว เราก็พบว่าคนอย่างเราก็ไม่ค่อยเหมาะเอาสะเท่าไหร่เลย ก็เลยปัดงานนั้นตกไป
พอเรารับปริญญาเสร็จ เราก็ยังไปรับถ่ายรูปงานปริญญาให้เพื่อนอยู่บ้าง แต่ไฟในตัวที่ขยันถ่ายขยันทำรูปมันก็ลดลง จนถึงทุกวันนี้ยังมีรูปเพื่อน 3 คนที่เรายังดองไว้ แต่งรูปยังไม่เสร็จอยู่… ปาเข้าไปปีนึงแล้ว แถมยังมีเซ็ตใหม่ที่เพิ่งไปถ่ายให้รุ่นพี่มาเดือนก่อนด้วย ฮือ น้องเพิ่งเรียกสติคืนได้ เพิ่งเรียกอารมณ์ศิลป์คืนได้ น้องจะรีบทำนะทุกคน (;___;)
เอนี่เวย์ เข้าประมานเดือนพฤศจิกายน(ปีก่อน)จู่ๆเพื่อนเราคนนึงก็ทักมา “แกยังว่างงานอยู่ใช่มั้ย” “สนใจเข้ามาช่วยงานแทนเราก่อนปะ” หูย ณ ตอนนั้นมีไรก็คว้าเลยแหละ เพราะไม่อยากอยู่แบบไม่มีรายได้แล้ว แม้ว่าจะยังไม่รู้ทิศทางชีวิตว่าจะไปทำอะไรก็เถอะ เลยตอบตกลง ตอนแรกที่คุยกันไว้คือทำแค่ 1 เดือนครึ่ง แต่เพราะยังหางานอยู่และเค้ายังต้องการคนช่วย สุดท้ายเลยอยู่ทำต่ออีก 1 เดือน
ระหว่าง 2 เดือนครึ่งที่เราช่วยงานเพื่อน เราก็ได้ลองค้นตัวเองว่าสรุปแล้ว เราชอบอะไรบ้าง เราคิดว่าเราถนัดอะไรบ้าง เราทำอะไรแล้วสนุกบ้าง แล้วก็เริ่มหาดูว่าอยากทำอะไรจากตรงนั้น แล้วก็เริ่มลุยสมัครงานในตำแหน่งที่เข้าข่ายเกือบ 10 งาน แต่ได้ตอบรับกลับมาแค่ 2 ที่เท่านั้น
ซึ่งมาคิดดูอีกที ตอนนั้นเราตัดสินใจเร็วไปรึเปล่านะ แต่ไปสัมภาษณ์งานแรกคือรู้ตัวละ ว่าไม่ได้แน่ๆ แต่งานที่สองคือรู้สึกว่าเราจะได้แน่ๆ เลยไม่ได้ไปมองที่อื่นต่อ แล้วเราก็ได้จริงๆ แม้ว่าหลังจากนั้นมีที่อื่นติดต่อมาอีก แบบเค้าติดต่อมาเองเพราะเจอโปรไฟล์เรา เราไม่ได้สมัครเค้าไป เราก็ไม่ได้ลองไปสัมภาษณ์เลย เราตัดสินใจและยึดมั่นกับสิ่งที่ได้แล้ว
บทสรุปของงานที่ไปทำวันนั้น ก็คือการลาออกมาในวันนี้ เพราะค้นพบว่ามันไม่ใช่ แล้วเราก็พบว่ายิ่งทำไปนานๆสุขภาพจิตเราก็ยิ่งทรุด ซึ่งทำให้สุขภาพร่างกายเราทรุดตามไปด้วย และส่งผลต่อหลายๆอย่าง กระทบแม้กระทั่งงาน เราเลยรีบเอาตัวเองออกมาจากตรงนั้นเพื่อคนอื่น (ไม่สร้างปัญหาเพิ่ม) และเพื่อตัวเอง (รักษาสุขภาพ)
ตอนนี้กลับมาตั้งตัวใหม่โดยการกลับมาช่วยงานเพื่อนเหมือนเดิม เพราะแม้จะผ่านไปปีนึงเค้าก็ยังต้องการคนช่วยเหลืออยู่ เลยโอเค กลับมาก่อน งานนี้มันยังเรื่อยๆ ไม่ได้ทำให้เราเครียด และทำให้เรามีรายได้หมุนเวียนไปก่อนระหว่างใช้เวลาหาใหม่ว่าเราจะไปทำอะไรต่อ
ตอนนี้มันก็วนมาลูปเดิมกับปีที่แล้ว “สรุปจะทำอะไรต่อ?”
มันเป็นคำถามที่ยากมากๆจริงๆ ตอนนี้เราก็ยังได้แต่ตอบ “ไม่รู้” เหมือนเดิม แต่เรามั่นใจแล้วล่ะว่าก็ยังจะหางานทำต่อไป ในสายงานที่แตกต่างออกไป มีทิศทางที่จะไปชัดเจนมากขึ้น และอาจเรื่องมากกว่าเดิม… 55555555 มันก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ยิ่งเราเจอว่าอะไรไม่ใช่ และรู้ผลกระทบของมันกับตัวเราด้วย เราก็ยิ่งอยากจะเลี่ยงมันมากเท่านั้น
แต่เราก็ได้ประสบการณ์การทำงานมาระดับหนึ่ง ได้โตขึ้นอีกระดับหนึ่ง และเรียนรู้อะไรหลายๆอย่างมากขึ้น ซึ่งมันก็ทำให้เรากล้าที่จะลองเสี่ยงมากขึ้นด้วย ตอนนี้เราไม่กลัวเสียเวลาในการลองเหมือนตอนจบใหม่อีกแล้ว เพราะถ้าไม่ลอง… เราก็จะไม่รู้จริงๆว่ามันใช่ไม่ใช่ เพียงแต่เราอาจต้องลองใช้เวลาตัดสินใจเร็วขึ้น รู้ตัวเองให้เร็วขึ้น ไม่ใช่ปล่อยจนมันส่งผลกระทบด้านเสียๆกับตัวเราเองจนเกือบจะต้องวิ่งไปหาจิตแพทย์ (ซึ่งไปหามันก็ไม่มีผลเสียไรหรอก แต่แค่ยังไม่อยากไป อยากจะลองแก้ไขด้วยตัวเอง)
สุดท้ายแล้ว ไม่มีคำตอบให้กับคำถาม “จะไปทำอะไรต่อ” มันไม่ผิดหรอก ค่อยๆหา ค่อยๆลองไปก็ได้ถ้าไม่รีบ หรือถ้าโดนกดดันจนต้องลองไปทำอะไรที่ตัวเองไม่ชอบ ก็ทำไปก่อนก็ได้ แต่ก็ให้ดูลิมิตตัวเองด้วย อย่าทนอะไรมากจนเกินไปจนส่งผลกระทบถึงสุขภาพของตัวเอง หรือในด้านอื่นๆ ไม่ไหวก็ถอย มันไม่ผิด และไม่ได้แปลว่าเราไม่มีความรับผิดชอบ
อันนี้ก็อาจขึ้นอยู่กับรายคนว่า prioritize อะไรในชีวิต แต่สำหรับเราคือ “ความสุข” ต้องมาก่อนเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าเรามีความสุข หรืออย่างน้อยเราไม่เครียด เราก็จะอยู่ได้ เราโอเคที่จะทำมันต่อไป แต่ถ้าถึงจุดที่เราเครียดมากจนถึงต้องร้องไห้ หรือถึงขั้นสุภาพตัวเองเสีย อันนั้นไม่ใช่ละ เราต้องถอย
ไม่ได้แนะนำให้ทำตามหรอก แต่เราก็แค่อยากจะเล่าว่าของเราเป็นยังไง และวันนี้เราทำอะไรอยู่กับการหาคำตอบในคำถามนี้
เพราะทุกคนก้าวเดินในจังหวะที่ไม่เท่ากัน เราก็เลยเลือกที่จะเดินในจังหวะของตัวเอง ถึงเราอาจสับสนอยู่บ้าง งงอยู่บ้าง แต่เราก็คิดว่าหลังจากนี้เราน่าจะลองหาทางไปได้ดีขึ้น เพราะเราเริ่มได้เรียนรู้เกี่ยวกับโลกภายนอกมากขึ้น และตัวเองมากขึ้นเช่นกัน
โพสนี้มีแต่ตัวอักษรล้วนเลย ต้องขออภัย เป็นการระบายระดับหนึ่ง และก็เพราะไม่ได้มีเวลาเขียนบล็อกมาร่วม 7 เดือนแล้ว ละก็เพราะนี่มันก็บล็อกเล่าอะไรก็ได้ของเรานี่เนาะ ถถถถถถ
– บีบีไงจะใครหล่ะ