ด้วยความที่พิมพ์ไปพิมพ์มาแล้วมันยาวมาก จะทำการแบ่งเป็น 3 ตอนนะจ้ะ
ตอนที่ 1 – รายละเอียดแผนการเดินทาง + ค่าใช้จ่ายเบื้องต้น, Orlando, Raleigh
ตอนที่ 2 – New York, Worcester & Boston
ตอนที่ 3 – San Francisco, Los Angeles
“เที่ยวคนเดียวแล้วไงอ่ะ” ตอนที่ 3 (จบ)
สองเมืองสุดท้ายท้ายสุดที่จะปิดทริป 1 เดือนนี้!
(เที่ยวใช้ชีวิตโง่ๆแปปๆก็ผ่านไปแล้วครึ่งเดือน ให้ตายเถอะจอร์จ)
หลังจากอยู่ East Coast มานานนม ไม่ว่าจะไปอเมริกาซักกี่ครั้งก็อยู่แต่ฝั่ง East เคยเที่ยวฝั่ง West แค่ 7 วันจากไม่รู้กี่เดือนที่เคยอาศัยอยู่ในประเทศนั้น อย่างมากก็แค่เท้าแตะอยู่ในสนามบินที่ LA แต่ครั้งนี้ ในที่สุด ข้าเจ้าก็ได้เหยียบเที่ยว West Coast อย่างเป็นทางการรร (แต่ก็แค่ 2 เมืองเท่านั้นแหละ)
5th Destination: San Francisco, California
เราบินจากบอสตันแล้วไปลงซานฟรานก่อนเป็นที่แรก ที่นั่นเราก็ได้ไปพักอยู่กับพี่ๆที่เป็นลูกชายกับลูกสาวของเพื่อนแม่ สองพี่น้องนี้เค้ามีบ้านอยู่ที่เมือง Concord ห่างจากซานฟรานประมาน 1 ชั่วโมง ถึงจะไกลหน่อยแต่ก็มีรถไฟที่วิ่งข้ามเมืองแถบนั้นอยู่ที่เรียกว่า Bay Area Rapid Transit หรืออีกชื่อนึงคือ BART ฟีลลิ่งก็ประมานแอร์พอร์ทลิ้งค์บ้านเราล่ะนะ ต่อสถานีคือวิ่งไกลมาก อยู่แถบ Bay Area ทั้งหมดเลย
วันแรกที่เราไปถึงคือประมานบ่ายโมงมั้งถ้าจำไม่ผิด แล้วเราก็ไม่ได้มีแพลนจะไปไหนหรือทำอะไรในวันนั้น เอาจริงๆคือเหนื่อยด้วย ก็คืนก่อนหน้าไม่ได้นอนนี่ค้า แม้ว่าจะน็อคไปแล้วบนเครื่องแต่มันก็ยังเหนื่อยอยู่ดี เพราะจริงๆตั้งแต่นิวยอร์คยันบ้านเพื่อนคือนอนเช้าตื่นเช้าเกือบทุกวัน ร่างแทบแหลกสลาย ต้องการการนอนมากกก พี่ๆก็เลยพาไปกินราเม็งที่ Little Japan ในตัวเมืองซานฟรานก่อนที่จะขับรถกลับบ้าน พอหัวถึงหมอนบอกเลยว่า knock out completely วันนั้นเป็นวันที่นอนเต็มอิ่มจนไม่รู้จะยังไงละ 55555
พอวันถัดไป เพราะจริงๆเราต้องเที่ยวคนเดียวอยู่แล้ว พี่ๆเค้าเลยอาสาพาเราขับรถเที่ยวก่อนวันนึง ออกสายๆหน่อย แล้วพี่ๆก็พาเราไปในที่ๆถ้านั่งรถสาธารนะไปเองอาจไม่สะดวกมาก ซึ่งวันนั้นก็ได้แวะไปมาทั้งหมด 4 ที่ คือ Treasure Island, Palace of Fine Arts, Golden Gate (จากไกลๆ), แล้วก็ Twin Peaks

















เป็นการที่พี่เค้าพาเราไปแวะแล้วปล่อยถ่ายรูปตามใจอยาก พี่เค้าก็เดินนำบ้างเดินตามบ้าง ยืนรอบ้างนั่งรอบ้างจนรู้สึกเกรงใจ เลยรีบเดินรีบถ่าย กักเก็บมุมที่อยากได้แล้วก็ไปต่อ แต่ถ้าเอาตามอารมณ์เราจริงๆ อาจเสียเวลาแต่ละที่นานกว่านี้มาก เพราะเราชอบนั่งกินลมชมวิว นั่งเอ๋อเด๋อด๋าไปวันๆ เฉกเช่นตอนไปนั่งหน้าสลอนอยู่เกือบครึ่งวันที่เมดิสันแสควร์ในแมนฮัตตัน 555
ถึงจะไปแค่สี่ที่ในวันนั้น แต่กว่าจะกลับถึงที่บ้านก็รู้สึกจะเย็นๆแล้ว ก็กลับไปนอนกลิ้งเล่นสบายๆแล้วคืนนั้นก็นอนเร็ว เพราะวันถัดไปต้องตื่นค่อนข้างเช้า เรามีแผนอันยิ่งใหญ่ในการขับรถไปเที่ยว Yosemite จย้าาา
ซึ่งเราก็ไม่ได้ไปคนเดียวหรือไปกับพี่ๆนะ เรานัดเพื่อนไว้! มิสใบตองจากตอนที่เราไปเที่ยว Carowinds กับมิสสีรุ้งจากตอนที่เราไปเที่ยว Disney จ้า ทั้งสองคนเป็นเพื่อนจากที่ฝึกงานเรา ละใบตองกับสีรุ้งนัดกันมาเที่ยวซานฟรานช่วงวันเดียวกันกับเราพอดี เราก็เลยไปแจมด้วยวันนึง โดยเจ๊รุ้งเป็นคนเสนอการขับรถไปเที่ยว Yosemite เอง
เราเป็นคนจองเช่ารถไว้ เพราะเราเป็นคนเดียวที่ขับรถเป็น มีใบขับขี่ไทย และใบขับขี่สากล เจ๊กับใบตองไม่มีอะไรทั้งนั้น 5555 โดยไปเช่าจากเอเย่นต์ฯ Enterprise เจ้าเดิมเหมือนตอนที่เช่าพาพินั้มพิดอกไปส่ง ทำธุรกรรมผ่านออนไลน์เช่นเดิม ซึ่งเราเลือกสาขาใกล้บ้านพี่ๆใน Concord เพราะพี่เค้าพาเราไปส่ง เราเช่าแบบ 1 วัน เพราะจะไป Yosemite แค่เช้าแล้วกลับเย็น ตอนแรกก็ตั้งใจจะเอารถไปคืนในคืนนั้นหรอกนะ แต่สุดท้ายพี่ๆก็บอกให้กลับบ้านเถอะแล้วค่อยเอาไปคืนเช้าวันถัดไป

เรานัดให้เจ๊กับใบตองมาเจอเราที่สถานี BART Concord แวะหาอะไรกินนิดหน่อยก่อนพุ่งตรงยาวสู่ Yosemite จาก Concord ไปนี่ไม่ใกล้เลย เราจำได้ว่าขาไปใช้เวลาประมาน 5-6 ชั่วโมงได้ ตอนแรกกะจะขับไปแค่ 3-4 ชั่วโมง แต่ก็มีพักแวะนานไปหน่อย แล้วเราเจอช่วงง่วงด้วย ไม่พักไม่ได้จริงๆ เพราะขับคนเดียว ยังไม่อยากพาเพื่อนไปเสี่ยงตาย
เราชอบระหว่างทางที่ขับไปมาก เคยเห็นในหนังเวลาที่เค้าขับรถไปไกลๆไรงี้ใช่มะแบบพวกทุ่งหญ้าสีเหลืองๆยาวสุดลูกหูลูกตาอ่ะ อารมณ์ทุ่ง Savannah คือมันใช่ แบบนั้นเลย ตลอดทางงงง ชอบมากกกก แต่นี่ขับรถไง แล้วก็เสียเวลาไปมากแล้วเลยไม่หยุดจอดรถ ถ่ายรูปไรแทบไม่ได้ทั้งน้านนน ได้แต่กักเก็บความทรงจำไว้เพียงอย่างเดียว ฮือๆ ถ้ามีครั้งหน้าจะจัดวันไว้ซัก 2-3 วันเลย เอาให้เต็มที่อี่อี่อี่อี่
ตอนที่ไปถึงก็งงอีกจ้า! ไม่รู้ว่าจุดไหนคืออะไรยังไง ที่หาข้อมูลมาพอไปถึงก็งง นั่งกางแผนที่อะไรก็แล้วก็ยังงงว่านี่ฉันอยู่ไหน หลงทางกันไปหมด แถมสัญญาณมือถือก็เดี้ยงทุกราย! ลาก่อย GPS งมทางอย่างแท้จริงมะมีติงนังงงง ขับหลงทางไปอย่างแรง ไม่พอ เจอรถติดอีกต่างหาก เลยยอมแพ้ ได้แวะข้างทางบนเขาอยู่ไม่กี่จุดแล้วก็ต้องงมทางออกจากหุบเขามุ่งหน้ากลับเมืองค่า
ซึ่งการงมทางกลับก็เป็นการเสี่ยงดวงสุดๆเช่นกัน เปิดแผนที่กะว่าฉันน่าจะต้องขับไปประมานทางนี้ล่ะมั้ง ถนนเส้นนี้ล่ะมั้ง โดยขับไปทางทิศตะวันตกอย่างเดียว ถนนหนทางไม่รู้อะไรทั้งสิ้น หลุดจากเขาออกไปราวๆ 1 ชั่วโมงกว่าๆมือถือถึงจะมีสัญญาณ กลับไปใช้ GPS ได้ดังเดิม พอมาเปิดดูก็ถือว่ายังโชคดีที่ก็ขับไปในเส้นที่อ้อมกลับสู่เส้นทางที่ถูกต้องได้อยู่ไม่ไกล เกือบพาเพื่อนหลงทางในอเมริกาไม่ได้กลับที่พักกันแล้วค่า ตื่นเต้นไปอี๊ก 555555


















สำหรับวันนั้น ถามว่าเฟลมั้ย ก็นิดนึงนะ เพราะไม่ได้ไปในจุดที่อยากจะไปทั้งหมด แล้วโดยรวมใช้เวลาตรงนั้นแค่ 3 ชั่วโมงเอง ขับไปตั้ง 5-6 ชั่วโมง! ก็มีจุดที่โอเคอยู่ ไปสต็อปยอดฮิต ได้แวะถ่ายรูปอยู่บ้าง แต่โดยรวมก็เป็นโร้ดทริป Yosemite วันนึงแบบชิวๆดีนะ เม้ามอยน้ำลายแห้งกันไปทั้งวันเลยทีเดียว แค่ฟีลนั่งรถเที่ยวกับเพื่อนมันก็เป็น good vibe แล้ว แต่ถ้าถามว่าอยากเที่ยวมากกว่านี้มั้ยก็อยาก มีเวลามั้ยก็มี แต่งบไม่อำนวยจ้า ช๊อตกันทุกราย
ส่วนในวันถัดมาเราก็แยกเที่ยวคนเดียวอย่างสมบูรณ์แบบ เอารถไปคืนแต่เช้าตรู่แล้วก็นั่งบัสเข้าซานฟราน วันนั้นเป็นหนึ่งในวันที่เราเดินเยอะที่สุดเท่าที่เคยเดินเที่ยวในอเมริกาเลยก็ว่าได้ เราว่าเราเดินเยอะกว่าตอนเดินเที่ยวนิวยอร์คอีก เพราะซานฟรานเป็นเมืองที่ใหญ่กว่า (ป่าววะ) หรืออาจเพราะแต่ละ landmark มันค่อนข้างห่างไกลกันมากก็ได้
ตอนแรกเรานึกว่าจากคองคอร์ดจะมีแค่ BART ที่พาเข้าซานฟราน แต่กลายเป็นว่ามีบัสด้วย เราเสิร์ชดูแล้วก็พบว่าป้ายรถหน้าอู่ที่เราไปคืนรถก็มี ก็เลยไปขึ้นตรงนั้น ถ้าจำไม่ผิดค่าตั๋ว 1 เที่ยวจะอยู่ที่ราวๆ $2 กว่าๆเองนะ ไม่แพงมาก แต่จะคนละเจ้ากับรถสาธารณะในตัวเมืองซานฟรานเอง
ในซานฟราน เห็นคนที่นั่นเรียกบัสว่า Muni ซึ่งค่าตั๋วจะอยู่ที่ $2.50 สามารถขึ้นลงบัสกี่คันกี่รอบก็ได้ภายใน 90 นาที ถ้าพ้นแล้วต้องซื้อตั๋วใหม่ แต่ก็นะ มันก็มีคนที่ไม่จ่ายใหม่ แล้วใช้ไอ้ใบเดิมนั่นแหละ ยื่นให้นายรถดูว่ามี ไม่ได้ให้ดูว่ามันหมดเวลาแล้ว แต่เราเป็นคนดีนะแกร เราซื้อใหม่ทุกรอบที่มันหมดเวลา ถถถถถ ถึงกระนั้น 80% ในวันนั้นที่เที่ยวเราใช้การเดินมากกว่า ประหยัดค่าเดินทางสุด ช๊อตแล้ว เดี๋ยวเงินจะเหลือไม่ถึง LA 555
วันนั้นเราก็ได้แวะ Union Square, China Town, Pier 39, Lombard Street, Little Japan (รอบ 2) แล้วตกค่ำเราก็ไปกินข้าวกับเพื่อนสมัยมัธยมที่ออฟฟิศของเพื่อน ซึ่งคือที่ Dropbox HQ รู้สึกภูมิใจมากที่มีเพื่อนทำงานอยู่ Dropbox เพื่อนคนนี้เป็นประธานสภานักเรียนตอนม.6 ส่วนเราเป็นเลขาสภาฯ ไม่เจอกันตั้งแต่เรียนจบม.ปลาย คุยอัพเดทชีวิตกันนานไปอี้ก ตั้งแต่โรงอาหารเค้าเพิ่งเปิด(รอบเย็น)จนโรงอาหารเค้าเริ่มปิดไฟ 5555
[ที่ Dropbox ตอนเพื่อนพาเดินทัวร์คือมิสามารถถ่ายรูปได้ และก็ไม่ได้คิดจะถ่ายรูปโรงอาหารที่ถ่ายได้มาด้วย มัวแต่ตื่นตาตื่นใจกับความเป็น Dropbox กับการได้เจอเพื่อน อิ้]



































































วันถัดมาก็ไปต่อ LA สิจะรออะไร ที่สุดท้ายแล้ว จะต้องกลับไทยแล้ว! ㅠㅠ
6th and LAST Destination: Los Angeles, California
เราบินถึง LA ตอนหัวค่ำ ซึ่งรอบนี้เราก็พักกับคนรู้จักของแม่เช่นเคยจ้าา เป็นรุ่นพี่ที่ทำงานเก่าของแม่ แล้วคนที่รับดูแลเราตลอดทริปนี้คือลูกสาวของคุณป้า ชื่อพี่ปอ พี่ปอก็กำลังเรียนแพทย์ เอ๊ะ หรือพยาบาลวะ เอาเป็นว่าสายนี้แหละ ซึ่งพี่ปอไม่ได้ทำงานประจำอะไร เคยทำแต่ก็ออกมาเรียน ก็เลยมีเวลาว่างอยู่บ้างที่จะพาเราไปไหนต่อไหน เราเดินทางโดยพี่ปอขับรถไปส่งตลอด ไม่ได้นั่งรถสาธารณะเลย เพราะฉะนั้นตรงนี้จะไม่มีข้อมูลที่อัพเดทนะจ้ะ
เราได้คุยกับพี่ปอก่อนไปถึงผ่าน LINE ก็ได้พบว่าพี่ปอเป็นสาวสายช็อปปิ้งและกิน พี่ปอบอกเรื่องอื่นพี่ไม่เชี่ยว แต่ถ้าเรื่องช็อปกับกินพี่พาหนูลุยได้เต็มที่ โอ้โห เข้าทางงงงง เพราะที่ตั้งใจไป LA คือไม่ได้มีแผนมาก ตั้งใจจะช็อปอย่างเดียวหลังจากกลั้นใจไม่ทรัพย์ละลายตลอดเดือนนึงที่เที่ยว แล้วเคยเที่ยวลอสแองเจลีสแล้ว ก็เลยไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะไปซ้ำที่เดิมๆ และ LA ไม่ใช่เมืองที่จะเดินเที่ยวไหนก็ได้แบบซานฟรานหรือนิวยอร์คขนาดนั้น ไม่มีรถนี่ชีวิตแอบลำบาก ในแถบที่เดินได้ก็จะมีพวกเส้น Hollywood อะไรพวกนั้น ซึ่งก็ทั้งเคยไปและไม่ได้สนใจจะไปเดินเที่ยวในเมืองอีกซักเท่าไหร่ กลับไทยก็อยู่เมืองอีกยาว
มาถึงตอนนี้ก็แอบหลายเดือนแล้ว จำไม่ได้ว่าวันที่ไปถึงพี่ปอพาไปกินข้าวไหน แต่ตลอดเวลาที่อยู่กับพี่ปอ กินดีเฟร่อออ พี่ปอเลี้ยงตลอดด้วย เลยสัญญากับพี่ปอว่าไว้พี่ปอกลับไทยน้องจะเลี้ยงบ้าง ให้น้องมีงานมีเงิน น้องจะตอบแทนอย่างดีย์








ซึ่งเราได้บอกแผนของเรากับพี่ปอไว้คร่าวๆ คือ:
9 Sep – Universal Studios Hollywood
10 Sep – Six Flags Magic Mountain LA
11 Sep – น้องจะช้อปให้ล้มละลาย
12 Sep – น้องก็จะช้อปเหมือนเดิม แต่พี่ปอจะไปด้วยไม่ได้ติดเรียน เพราะงั้นดร็อปน้องไว้ก็ได้ค่ะ
13 Sep – บินกลับไทยแหล่วจ้า
วันแรก ไปค่ะ Universal Studios! กลั้นใจไม่เข้าที่ Orlando เพราะจริงๆที่นั่นนอกแผน เลยมาเข้านี่แทน อิชั้นจะไปซื้อไม้กายสิทธิ์ค่ะ Butter Beer ก็ต้องได้ลอง Minion ชั้นก็จะต้องได้!!
แต่ทีนี้ความพีคมันอยู่ตรงนี้ค่ะคุณขา ก็เที่ยวคนเดียวตลอดเดือนใช่มะ เจอคนประปรายตามทาง แต่ด้วยความที่พี่ปอไม่ได้อยากจะเข้าไปเล่นเครื่องเล่นกับเรา หรือไปจ่ายค่าตั๋วให้เสียเวลา เราเลยจำเป็นที่จะต้องเข้าสวนสนุกคนเดียว!! เออใช่ มีใคร alone กว่าฉันไหมล่ะ เข้าสวนสนุกคนเดียวก็ได้เว่ย (Alone LV. 99)
ซึ่งเราได้ทำการจองตั๋วเข้า Universal ไว้ล่วงหน้าประมานเดือนนึงแล้ว เราก็แค่ปริ้นท์แล้วเอาไปเดินเข้าสวนสนุกคนเดียวสวยๆ #เหงามากกกกกกกกก

จริงๆเราเคยไป Universal Studios Hollywood มาครั้งนึงแล้วหล่ะ แต่ตอนนั้นยังไม่มีส่วนมินเนี่ยนกับแฮร์รี่ นี่ก็แค่กลับไปเข้าส่วนนั้นโดยเฉพาะ จ่ายค่าตั๋วไปสามพันกว่าบาทเพียงเพื่อแค่นั้น… ทุ่มเทแค่ไหนถามใจเธอดู
แต่! เราไม่เสียดายเลยที่ไปคนเดียว ถึงจะเหงาแต่ก็มีความสุขมาก เดินหลงอยู่ในแฮร์รี่ประมาน 3 ชั่วโมงกว่า ขึ้นเครื่องเล่นครบทุกอันตั้งแต่ชั่วโมงแรก ไปเดินชิวถ่ายรูป ไล่ดูของที่ระลึก ชิม Butter Beer อยู่อีก 2 ชั่วโมงกว่า ฉันฟินของฉันคนเดียวก็ได้เหมือนกันแหละ ถึงจะเหงาแต่ก็ไม่เศร้าเฟ้ย!
หลังจากนั้นเราก็ไปเดินเล่นดูส่วนอื่นๆในสวนสนุกแต่ไม่ได้เข้าไปเล่นเครื่องเล่นอะไร เพราะเคยขึ้นหมดแล้ว เป็นพวกไม่ค่อยชอบขึ้นอะไรซ้ำๆ และพวกเครื่องเล่นใน themed park มันไม่มันส์เท่า amusement park ของจริงเดี๋ยวเจอกัน Six Flags พรุ่งนี้!
Last stop ก่อนเดินออกคือสวน Minion จย้า ไม่ถึงขั้นเป็นแฟนตัวยงแต่ก็ปฏิเสทไม่ได้ว่าเจ้าตัวเหลืองโง่ๆพวกนี้มันน่าร๊ากกกก เราดูครบทุกภาคและชอบดูซ้ำด้วย ได้ข่าวว่าภาค 3 จะมา Summer 2017 นี้! ฉันรอดูเธออยู่ ❤



























อ่อๆ แล้วก็ไปเล่นเกมชู้ตบาสมา 3 ลูก $10 เล่นไปสองรอบ ได้เจ้ามินเนี่ยนมาตัวนึงจ้าา ซึ่งมาคิดอีกที เดินไปซื้อในร้าน $25 quality ดีกว่านี้เยอะเลยแกร๊ (แต่ตอนนั้นมันอยากลองเล่นบาสเฉยๆ 555)
แค่ครึ่งวันใน Universal เงินในกระเป๋าตังก็ได้สละชีพไปแล้วหลายร้อยเหรียญ เหมือนเก็บกด 5555 แต่ไม่พอจ้ะ ไม่พอออออ ด้วยความที่ออกเร็ว (เข้าสวนตอน 10 โมง ออกประมานบ่ายโมง) พี่ปอก็เลยพาไปกินข้าว แล้วก็แวะช้อป! อู๊ย จะเหลือหรา ช้อปเบาๆไปทีก่อนกลับบ้านไปนอนดูซีรียส์เล่นจ้า ดูอะไรน่ะหรอ ตอนนั้นก็ต้อง W เส้!! (ความหักมุมทุกอีพีนั้นแทบฆ่าฉันตาย) แต่คืนนั้นก็นอนเร็ว เพราะวันถัดไปเป็น My big day!!
HELLO SIX FLAGS. YOU’VE BEEN MY DREAM AND MY GOAL.
นี่ไม่ได้ล้อเล่น Six Flags LA เป็นสวนสนุกแรกที่เราใฝ่ฝันว่าจะต้องไปเล่นให้ได้ตั้งแต่เริ่มชอบเล่นโรลเลอร์โคสเตอร์ ซึ่งฝันเป็นจริงแล้วจ้าาาาา เรื่องตั๋วไม่ต้องถาม ซื้อ FLASH Pass จ้า ทุ่มค่ะ ทุ่ม และแน่นอน… ฉันไปคนเดียว แต่รอบนี้หนักกว่าเดิม คุณรู้มั้ยว่าการไป คนเดียว ใน สวนสนุกแบบมีเครื่องเล่น (amusement park) มันเป็นอะไรที่สุดจะพีคจริงๆ พีคกว่าเมื่อวานอีกจ้า (Alone LV. 199)
แต่ช่างหัวมัน Goal เราในวันนั้นคือ “ขึ้น Roller Coaster ให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้” ไม่ได้ถ่ายรูปอะไรเลย พกไปแค่เงินกับมือถือ สัมภาระอื่นๆไม่มีจริงๆ แล้ววันนั้นก็ไม่สนใจด้วยนะว่าร่างกายตัวเองจะไหวหรือเปล่า ไม่แคร์เลย วิ่งไปขึ้นอันถัดๆกันโดยไม่คิดถึงอย่างอื่นเลย แต่ก็ยังมีเวลาพักนะ ระหว่างรอขึ้นเครื่องแต่ล่ะอัน ถึงจะ Fast Lane แต่บางเครื่องมันก็ไม่มีตรงนั้น บางเครื่องก็ยังอุตส่าห์แถวยาว อีกอย่าง สวนมันใหญ่มากนะแกร เดินไปอันข้างๆกันก็เถอะ ทางเข้ามันก็ห่างกับอิ๊บอ๋าย เดินขาลากสุด คือแทบทรุดแล้วเพราะเหนื่อย แต่ก็ไปต่อ เวียนหัวด้วย มึนมาก แต่ก็ไม่ยอมแพ้ 555
บทสรุปของวันนั้นคือเข้าไปตั้งแต่มันเปิดประมาน 10 โมง ออกมาตอน 5 เกือบ โมงโดยกินอาหารและน้ำไปเพียงครั้งเดียว ขึ้นไปทั้งหมดประมาน 11-12 เครื่องเล่น (Roller Coasters ONLY) จากที่ตั้งเป้าไว้ประมาน 15 (ทั้งสวนสนุกน่าจะมีประมาน 17-18) แต่มันวิ่งไปไม่ทันจริงๆ แล้วตอนเย็นคือมึนจนแทบทรุดเลยไปหาข้าวกิน พอกินเสร็จก็ไปต่อไม่ไหว เลยเลือกที่จะกลับแทน
ถามว่าคุ้มมั้ย อยากจะบอกว่าวันนั้นเป็นวันที่ใช้ชีวิตคุ้มค่าที่สุดในรอบ 21 ปี จริงๆ สำหรับใครที่เป็น roller coaster maniac แบบเราแล้วนั้น การที่ได้ไปขึ้นเกือบทุกเครื่องแบบนั้นคือฟินมากกกกกกกก ว่าตอนเสียตังไปเดินแป้ปๆใน Universal มันฟินแล้วนะ Six Flags นี่ฟินกว่าอีก แถมคุ้มมาก ตั้งแต่สวนเปิดยันสวนเกือบปิด คุ้มค่า Fast Lane ที่จ่ายเพิ่มไปอีกเกือบ 3พันมากๆจ้าาา
แต่วันนั้นก็ไม่ได้จบแค่นั้นหรอกนะ ยังอุตส่าห์มีแรงไปช้อปต่อ! ดีออกกกกกกก ละลายทรัพย์อย่างยิ่งใหญ่ พี่ปอคือแบบ เห็นเราชอบเดินพวก Marshall’s อะไรงี้นัก ก็เลยพาไปให้สมใจอยาก เป็นไงหล่ะ ตอนอยู่ Charleston ก็แทบแย่ มากับพี่ปอหรอจะเหลือ หนักกว่าเดิม เจ๊พาน้องมาช้อป น้องก็ช้อปสิคะ จะได้ไม่เสียแรงที่เจ๊อุตส่าห์พามา!
วันที่เหลือก็ไม่มีไรละ ช้อปอย่างเดียว เดี๋ยวดูได้จากทรัพย์สินในรูปภาพ… หลู่เลื่องเหลย // จริงๆมีเยอะกว่านี้ แต่ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ ไม่อยากรำลึกว่าหมดเงินไปเท่าไหร่ แฮ่





คืนสุดท้ายของเราคือวันที่ 12 เพราะไฟลท์เราตอนตี 1 วันที่ 13 วันนั้นเราไปเดิน outlet แต่ไม่ค่อยได้อะไร (ก็ได้ทุกอย่างแล้วตามร้าน off-price department store) เลยไปเดินจับโปเกมอนแทน… หลังจากกลับบ้านอาบน้ำเก็บกระเป๋า พี่ปอก็พาเราไปส่งเช็คอินที่สนามบิน แล้วก็ลากัน โดยก่อนจากกันนั้น ไปเจอน้องคนไทยคนนึงจ้า นางชื่อซันนี่ คุยกันแป้ปๆดันถูกคอ สรุปถึงจะเสียใจที่ต้องร่ำลากับพี่ปอ เพราะตอนแรกนึกว่าจะต้องกลับไปลูปเดินทางคนเดียวแล้วนั้น ก็ไม่เป็นไร เพราะมีเพื่อนร่วมเดินทางแล้วจ้ะแกกกกกก







การเดินทางกลับไทยเราก็ไม่เงียบเหงา เพราะซันนี่นางคุยเก่ง อารมณ์ขันดี และถึงจะนั่งแยกกัน ก็ยังคุยบ้างบางทีเดินผ่านกันอะไรงี้ การเดินทางกลับเราก็ไร้อุปสรรคใดๆ อาจเจอไฟลท์ดีเลย์ตอนแรกไปบ้าง แต่ก็ไม่เหงาดี ไม่เบื่อ ราบรื่น แลนด์ดิ้งอินไทยแลนด์เซฟแอนด์เซาวนด์จ้า แยกย้ายกับซันนี่แล้วก็กลับบ้านเฮา
การเดินทางสามเดือนครึ่งของเราก็ได้จบลง.
เป็นประสบการณ์ที่เราจะไม่มีวันลืม สนุกมากๆ เราอาจไม่ได้ไปใช้ชีวิตแบบนั้นอีกแล้ว แต่เราสัญญากับตัวเองว่า เราจะกลับไปใช้ชีวิตที่นั่นอีกให้ได้ แม้ตอนนี้จะต้องลำบาก ซักวันหนึ่งเราจะกลับไป และไปใช้ชีวิตที่มีความสุขโง่ๆแบบนั้นให้ได้อีกครั้ง 🙂
ขอบคุณทุกคนที่คอยติดตามซีรี่ยส์การเดินทางนี้มา หวังว่าจะได้อ่านอะไรที่มีประโยชน์ไม่มากก็น้อย ขอบคุณคนที่อุตส่าห์เจอบล็อกเรา และเข้ามาแวะเวียน ถึงแม้เราจะหายไปบ้าง แต่เราจะกลับมาอีกแน่นอน เรายังมีเรื่องที่อยากเล่าอีกเยอะเลยแหละ จะเล่าจนกว่าจะครบ ไม่ว่ามันจะผ่านไปนานแค่ไหน เราก็จะบันทึกมันไว้ให้หมด เราจะได้ไม่ลืม 😀
– บีบีไงจะใครหล่ะ