ตอนที่ 1 – รายละเอียดแผนการเดินทาง + ค่าใช้จ่ายเบื้องต้น, Orlando, Raleigh
ตอนที่ 2 – New York, Worcester & Boston
ตอนที่ 3 – San Francisco, Los Angeles
“เที่ยวคนเดียวแล้วไงอ่ะ” ตอนที่ 2
3rd Destination: New York, New York
หลังจากน้ำตาไหลเป็นสายน้ำเพราะต้องจากกับมัมไปแล้วนั้น เราก็หลับเป็นตาย รู้สึกตัวอีกทีคือเครื่องจอดที่สนามบิน Newark, New Jersey แล้วจ้า
ตอนที่ถึง เราก็ติดต่อคุณป้าที่เราจะไปพักด้วย (เพื่อนของเพื่อนแม่อีกที) เพราะคุณป้ากับลูกชายเค้ามารับ
ขอเล่าเรื่องคุณป้าก่อน คือคุณป้าน่ารักมากกกกก เสียดายที่ไม่มีรูป เพราะคุณป้าไม่ยอมถ่ายด้วย คุณป้าเป็นคนไทยที่ไลฟ์สไตล์คนอเมริกันมากๆ และใจดีมากๆ คือเราออกบ้านเช้ากลับดึก/เช้าทุกวันแต่ก็ยังไปส่งและรอรับเราทุกวันเลย เกรงใจนะ แต่คุณป้าก็บอกเราว่าอยากทำไรก็ทำเถอะลูก อายุยังน้อย วัยรุ่นน่า ใช้ชีวิตให้คุ้ม บ่องตง ชอบความปล่อยให้ลุยของป้ามาก นี่เลยไปลุยสะเต็มที่ 55555
บ้านคุณป้าเป็นสไตล์อพาร์ทเม้นท์อยู่ชั้น 2 ที่เช่าของคนอื่นอยู่อีกที ไม่ได้เล็กแต่ก็ไม่ได้ใหญ่ ตรงที่เราได้พักคือตรงห้องพระของคุณป้า มีม่านกั้นฉากแยกปิดจากห้องครัวไว้ เวลานอนคือแอบเกร็งเล็กน้อย เพราะนอนกับพระเต็มห้อง นี่ก็เลยไหว้พระก่อนนอนทุกคืน ตื่นมาก็ไหว้ แม้ว่าปกติจะไม่ค่อยไหว้ก็ตามที แต่คือสิ่งแวดล้อมมันบังคับไง หนูเกรงใจพระค่ะ
ไปถึงวันแรกก็เป็นเวลากลางคืน พอดีเรายังไม่ได้กินข้าว คุณป้าก็เลยพาไปเลี้ยงข้าว และภาพด้านล่างคือสิ่งที่ได้กินจ้า เมนูล็อบสเตอร์ที่กินอิ่มยันวันถัดไป อร่อยมากกกกกก เนื้อเยอะ หงั่บบๆ
ตอนกลับไปถึงที่พักคืนแรก เพราะคุณป้าทำขนมขาย แกก็เลยแบ่งคุ้กกี้ที่ทำมาให้กินจ้า ดีงามมาก เรายังจำรสชาติคุ้กกี้มะนาวของป้าได้อยู่เลย เปรี้ยวดี คืออร่อย เลยเก็บไว้กินยันวันเดินทางไปเมืองถัดไปเลยจ้า 555 แล้วก็ได้กินขนมแบบนั้นทุกวัน เพราะคุณป้าจะคอยเอามาแบ่งแล้ววางไว้ให้เราก่อนนอนทุกคืน หิวก็กรุบกริบไปสิ เหอๆ #ความผอมคืออะไรฉันไม่รู้จัก
เข้าเรื่อง เอาจริงๆแพลนเที่ยวที่นิวยอร์คเราไม่ค่อยมี เพราะตอนแรกกะไปหาเพื่อนอย่างเดียว ไปชิวกันไรงี้ แต่กลายเป็นว่าคลาดกันจ้าาาาา เพื่อนคนนึงไปเที่ยวไนแองการ่ากับครอบครัว อีกคนลงไปออแลนโด้ตั้งแต่ก่อนเราเริ่มเที่ยวแล้ว อ้าว เหงาเลย ไปไหนล่ะทีนี้
แต่สำหรับวันแรกยังดีหน่อย คือมันเป็นการเข้านิวยอร์ครอบที่ 5 ของเราแล้ว แต่ก็ยังมีที่ๆไม่เคยไปเที่ยวอยู่บ้าง ก็เลยกะจะไปเก็บที่พวกนั้น ซึ่งที่แรกที่มุ่งไปคือ Brooklyn Botanic Garden โดยการนั่ง NJ Transit Bus จากแถว Secaucus, New Jersey เข้าไปลง Port Authority Bus Terminal ใน Manhattan แล้วก็นั่ง Metro ต่อไปสายที่เข้า Brooklyn ไปลงหน้าสวนเลย (รู้สึกจะสายสีเหลือง N หรือ Q)
//ขอคั่น// อยากจะพูดถึงเรื่องการเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินหรือ metro มันใช้ง่ายมาก ระบบเส้นสายเยอะกว่าบ้านเราแต่ก็ขึ้นไม่ยาก มี map ให้ดูเต็มอากู๋ อยากจะไปไหนก็เปิดแมพ หรือหาโหลดแอพก็ได้ มีเต็ม store เหมือนกัน เวลาไปขึ้นก็คอยสังเกตุการว่าจะไปทาง upper town หรือ lower town ให้ดีๆก็พอ ไปอยู่ให้ถูก platform เดี๋ยวจะลงล่างเมืองแต่กลับขึ้นไปด้านบนแล้วจะเสียเวลานั่งย้อน 555
บัตร metro สามารถกดซื้อได้ที่ตู้จำหน่ายตั๋วภายในสถานีเลย รู้สึกค่าออกตั๋วจะประมาน $1.50 หรือ $2.50 เนี่ยแหละ บวกทบไปกับจำนวนเงินที่อยากจะเติมนะจ้ะ แล้วก็ metro นี่ราคาเดียวตลอดสาย ขึ้นสถานีไหนลงสถานีไหน ใกล้ไกลก็ $2.75 ต่อเที่ยวเท่านั้น เพราะฉะนั้นจะนั่งแค่ 2-3 สถานีมันก็ไม่คุ้ม เดินเถอะ แปปเดียวก็ถึง ไปไกลๆหน่อยค่อยนั่งเนอะ จะได้ประหยัด แต่ถ้าใครรวยก็ไม่ว่ากัน เอาที่สบายใจจจ อ้อแล้วก็บัตรมันจะมีอายุการใช้งานอยู่ มันจะพิมพ์ไว้บนบัตร ถ้าใครจะกลับไปอีกในระยะเวลานั้นๆก็เก็บบัตรไว้ดีๆนะ จะได้ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมออกบัตรอีก เติมตังได้เรื่อยๆ เงินสดหรือจ่ายด้วยบัตรเครดิต/เดบิตก็ได้เด้อ //โอเคจบการคั่น//
ส่วนตัวแล้วเราชอบถ่ายรูปคนนะ แต่ถ้าเป็นวิว เราก็ชอบถ้ามันเป็นที่ๆเป็นสวนมีดอกไม้เยอะๆสีสันสดใสไรงี้ ก็เลยอยากจะไปลองดูที่สวนนี้ซักหน่อย ยิ่งมีสวนซากุระอยู่ด้วยนี่ยิ่งอยากไปดูเลย แต่ว่า… ลืมว่ามันเป็นช่วงสิ้นฤดูร้อนที่ก็ยังไม่เข้าฤดูใบไม้ร่วงสะทีเดียว มันเลยไม่มีอะไรให้ดูทั้งนั้นแหละ สวนเขียวขจี ซากุระนี่มันก็ช่วงเมษาเฟ้ย จะใบไม้เปลี่ยนสีเต็มที่ก็ตุลาเฟ้ย ตอนนั้นสิ้นสิงหาไง… ก็แค่อากาศเริ่มเย็นแต่แดดร้อนแรง… โอ้ย เฟลในเฟลไปอีกอ่ะ 555555
แต่เสียดายมั้ยที่ไป ก็ไม่นะ เดินเพลินไปสะอีก เพราะชอบความชิวเวลาเดินเล่นในสวน แล้วมันก็ไม่ได้เล็กเลยนะ ค่อนข้างใหญ่ สรุปเดินไป แวะหามุมถ่ายรูปไป หยุดกินลมชมวิวไป ก็หมดเวลาไป 3-4 ชั่วโมงแล้วจ้า อยู่คนเดียวก็เพลินได้อ่ะเออ ดูจากจำนวนรูป 5555





























หลังจากนั้นก็ขึ้น metro กลับเข้า Manhattan ไปกินข้าวเที่ยวแถว Korean Town ละก็ไปเดิน Brooklyn Bridge ต่อ จังหวะที่ไปคือคนค่อนข้างเยอะและลมแรงมาก และถ่ายรูปได้ไม่เยอะเพราะหามุมไม่ได้ซักที คือเตี้ยด้วยไง ยกกล้องให้สูงเท่าไหร่ก็ตัดหัวคนไม่หมดเก็บวิวไม่ได้จ้า อยู่ตรงนั้นแป๊ปๆก็วิ่งกลับบ้านเพื่อไปเปลี่ยนชุด โดยขึ้น NJ Transit Train จาก Penn Station ไปลงสถานี Secaucus แล้วคุณป้าก็มารับ ก่อนที่จะกลับเข้า Manhattan อีกรอบโดยขึ้น train กลับ เพื่อที่จะไปเจอน้องจากบ้านอีดิสโต้จย้า




ซึ่งคนๆนั้นที่นัดกันคือเจ้าแสตมป์ โผล่หน้ามาแล้วตอนนึงจากบล็อกตกปลา คือตอนเราลงไปออแลนโด้ น้องมาเที่ยวนิวยอร์คก่อนกับเจ้าเดมี่ แอร์แบร์ แล้วก็จีโน่ แต่มันกลับเปลี่ยนใจอยู่ต่อสะงั้น ปล่อยเพื่อนกลับบ้านแล้วมันก็เลื่อนไฟลท์
พอแบบนั้นแล้วเลยนัดกับเจ้าแตมไว้ว่าเราจะไปผับนิวยอร์คกัน! เจ้อยากไปผับ ไปเป็นเพื่อนเจ้หน่อย ไหนๆก็เลื่อนไฟลท์กลับไทยแล้ว มาเมการอบนี้ยังไม่ได้เข้าผับเลย ขอลองซักทีสิ้ ว่าจะสนุกเหมือนตอนเพื่อนพาไปรอบก่อนที่ Providence รัฐ Rhode Island รึเปล่า
แต่ตอนคุยกันแล้วหาผับ ก็พยายามหาผับที่ต่ำกว่า 21 เข้าได้ เพราะเจ้าแสตมป์นั้นอายุยังไม่ถึง ซึ่งโจทย์มันยากมาก อันที่ดีๆดังๆนี่ 21 ขึ้นไปทั้งนั้น แล้วด้วยความไม่มีคน local ที่รู้จักอยู่เลย และนึกถึงใครอื่นก็ไม่ออกนั้น ก็หาชื่อผับกันไม่ค่อยเจอเลยจ้า… จนเจ้าแตมไปได้ข้อมูลจากชายแปลกหน้าคนหนึ่งมา ว่ามีผับนึงที่เค้าแนะนำให้ไปลองดู ต่ำกว่า 21 เข้าได้ และลดราคาค่าเข้าของผู้หญิงด้วย ก็เลยไปที่นั่นแหละ แต่อย่าถามชื่อนะ จำไม่ได้ละ และไม่อยากแนะนำ เพราะรู้สึกว่าไม่สนุกเลย และคนน้อยด้วย วันนั้นก็เฟลจ้า พาน้องไปเฟลลล
แต่ยังฟินที่ก่อนหน้านั้นไปนั่งกิน Bonchon มาจ้ะ พนง.เสิร์ฟดีงาม โอปป้าหรือดองแซงมะรู้ รู้แค่ว่า 멋씻어 ㅋㅋㅋㅋㅋ #ภาษาเกาก็มา อิ่มท้องและอิ่มใจ เอิ้กกก
ส่วนคืนนั้นหลังจากเฟลกับผับก็ดิ่งกลับบ้าน เจ้าแตมก็ไปค้างคืนด้วย ก่อนที่ตอนเช้าจะไปเดินลุย Soho กัน เพราะเจ้าแตมชอบไปเดิน และเรายังไม่เคยไปเดิน บวกกะจะไปเดินส่องร้านรองเท้า Adidas แถวนั้นเพื่อเช็คราคาและสี NMD แม้ว่าจะซื้อมาแล้วคู่นึงก็ตาม 5555
สอดส่องอยู่ในย่านกันได้ซักพักก็แยกกันแล้วเราก็เดินเล่นเอื่อยเฉื่อยไปทั้งวัน จำได้ว่านั่งอยู่ที่ Madison Square อยู่ราวๆ 3 ชั่วโมงก่อนมุ่งหน้าไปเจอเพื่อนอีกสองคนที่นัดกันแบบกระทันหัน เพราะเราเพิ่งนึกได้ว่าเพื่อนก็อยู่นิวยอร์คนี่หว่าาา เรานัดกันไปเจอตรงสถานี metro ใกล้ High Line เดินจากสุดจนสุดแล้วก็เตร็ดเตร่เดินเล่นต่ออีกนิดหน่อยก่อนไปจบที่ Time Square แล้วเราก็ปลีกตัวไปนั่งดริ้งกับคุณนนและบิวที่ก็เข้านิวยอร์คมาพอดี เป็นการเจอคนแบบแรนด้อมๆไปหมดจริงๆ แรนด้อมยันวันถัดไป ที่ก็ไปเอ้าท์เล็ต Woodsbury กับนนแล้วก็บิวเฉย 555555
Time Lapse ถ่ายตอนนั่งชิวอยู่ Madison Square ฮะ



















แล้วการเดินทางเล่นที่ New York ของเราก็ได้จบลงหลังจากไปช้อปตามลิสท์ของที่ต้องซื้อ(ให้คนอื่น)มา วันนั้นที่เดินเอ้าท์เล็ตคือไม่พกกล้องเลย ตัวปลิวช้อปอย่างเดียวแบบไม่ถ่ายรูป หลังจากนั้นก็แยกย้ายกับคุณชายทั้งสอง เค้าไปเที่ยวญี่ปุ่นต่อ ไว้เจอกันที่ไทยจ้า เราก็กลับบ้านไปแพ็คกระเป๋า เตรียมตัวไปลุยที่ถัดไปกัน!
4th Destination: Worcester & Boston, Massachusetts
เราไปนั่งรถ Greyhound จาก Port Authority Bus Terminal ใน Manhattan เพื่อขึ้นไป Worcester เมืองที่เราเคยไปแลกเปลี่ยนตอนปี 2014 นั่นเอง ซึ่งบัสสายนี้เราเคยนั่งแล้ว 2 ครั้ง ก็เลยคุ้นเคยกับมันมาก นั่งไปราวๆ 3 ชั่วโมงกว่าๆก็เปลี่ยนบัสครั้งนึง แล้วก็อีกชั่วโมงกว่าๆก็ถึง bus terminal ใน Worcester แล้ว
ซึ่งในวันนั้นตอนแรกเรานัดกับเพื่อนไว้ว่าให้พวกมันมารับ แต่มันดันลืม แล้วเลยไปปิคนิควันเกิดเพื่อนที่สวนสาธารณะนอกเมืองสะงั้น นี่เลยต้องลนหาทางว่าฉันจะแบกกระเป๋าสัมภาระมากมายของฉันไปที่บ้านพวกมันได้ยังไง แล้วกุญแจล่ะ ทำไง แต่สุดท้ายมันก็ไปคุยกับเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง ให้มารับเราแทน เพื่อมารับเราแล้วตามไปสมทบกับพวกมันที่ปิคนิคเลย จากที่ไม่เคยรู้จักกัน ก็เลยได้เพื่อนใหม่มาจ้า
เพื่อนเจ้าบ้านที่เราไปพักด้วยมีชื่อว่า Alex และ Tommy หากใครสงสัยเพราะชื่อ ก็จะตอบให้ว่าทั้งสองคนเป็นผู้ชายจาาา ไปพักบ้านผู้ชายจาาา 55555 แต่ประเด็นคือตอนแรกจะไปพักบ้านเพื่อนผู้หญิงแหละ แต่ดันมีปัญหานิดหน่อย เค้าก็เลยไปไล่ถามมาให้ว่าใครจะให้เราพักได้บ้าง แล้วก็ได้สองคนนี้ ที่เราก็สนิทด้วยนั่นแหละ พวกมันก็โนซีเรียส แล้วก็ให้เราไปพักฟรี ก็เลยโอเค๊ ก็ได้ บ้านชายฉกรรจ์ฉันก็ไม่กลัวว (สะที่ไหน ก็มีแอบสั่นๆบ้าง แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีไร เพื่อนเจ้นท์ฯดี)
ต้องบอกเลยว่าตลอด 7 วันที่บ้านคุณสองคนนี้ฉันไม่มีรูปใครทั้งนั้น! ไม่ได้ถ่ายรูปอะไรเลย เป็นการตัดขาดการอัพเดทบนโซเชียลและมือถือตัวเอง ใช้ชีวิตไปวันๆในช่วงซัมเมอร์แบบเด็กมหาลัยฯตามเพื่อนเลยจ้า แฮ้งเอ้าท์กันแบบ hang out for real, no kidding ไม่มีการหยิบมือถือมาเล่นอะไรทั้งนั้น อย่างมากที่สุดคือ snapchat ที่ไม่ได้กดเซฟอะไรมาเลย อัพให้เห็นกันเอง 24 ชม.แค่นั้น จอบอ 55555
วันแรกก็ที่ไปถึงคือไปปิคนิคกับเพื่อนนั่นแหละ กินบาร์บีคิว นั่งเม้ามอย นั่งดูเพื่อนเล่นน้ำในทะเลสาบ แล้วก็ไปล้อมวงเล่นวอลเล่ย์บอลอยู่ประมานชั่วโมงกว่า ได้เพื่อนใหม่มาร่วมสิบคน จากเพื่อนตัวเองที่รู้จักอยู่แล้วประมาน 8 คน (ก็ผู้ชายทั้งนั้น มีผู้หญิงแค่ 2 คน) 95% ของคนเหล่านี้เป็นผู้ชาย แก๊งชายฉกรรจ์ของแท้แบบไม่ล้อเล่น มีเพื่อนผู้หญิงอยู่เล็กน้อยมากจริงๆค่าาา
ตกหัวค่ำก็กลับบ้านเพื่อน เกือบทุกคนจากที่ปิคนิคก็ตามไปด้วย Alex บอกว่าบ้านมันเป็นแหล่งซ่องสุม ไม่รู้จะไปไหนหรือทำอะไร เอะอะๆก็เดินเข้าบ้านมันเลย แล้วยิ่งบ้านอยู่ใกล้มหาลัยแล้วนั้นก็อยู่มากกว่ามหาลัยอีกจา เพื่อนอยู่บ้านมันมากกว่าเจ้าของบ้านอยู่อีก 5555
แล้วที่บอกว่าบ้าน ก็คือบ้านจริงๆ ไม่ใช่อพาร์ทเม้นท์ไก่กาหรือหอ บ้านแบบตึกแถว มี 3 ชั้น ห้องนอน 3 ห้อง ห้องนั่งเล่นกับห้องครัว แถม balcony หลังบ้านเล็กน้อย มี garage และลานจอดรถหน้าบ้าน เสียดายว่าไม่มีรูป เพราะไม่มีจังหวะจะถ่าย ออกจากบ้านทีก็รีบ เข้าบ้านทีก็ดึก มองไม่เห็นไรทั้งนั้น และบ้านนี่คือเพื่อนเป็นเจ้าของ แบบเป็นของตัวเอง พ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วยเลย หรูไปอีก เราว่ามันสุดยอดนะสำหรับผู้ชายอายุ 23 กับ 24 ที่สามารถมีบ้านของตัวเองได้แบบไม่พึ่งพ่อแม่เลย
เม้าเรื่องเพื่อนก่อนละกันอะ Alex เป็นคนเกาหลีสัญชาติอเมริกัน คือพ่อแม่เกาหลีแท้ ย้ายจากเกาหลีไปอยู่เมกา เพื่อนก็เลยเกิดที่นั่น แล้วพ่อเป็นนักเทควันโด้ เป็นอาจารย์ มีโรงยิมเป็นของตัวเอง รู้สึกจะสายดำดั้ง 7 หรือ 8 เนี่ยแหละ ส่วนตัวเพื่อนเราเองก็ตามรอยเท้าพ่อเลยจ้า มีพี่ชายคนนึงที่ก็เหมือนกัน ทั้งคู่เป็นทั้งนักเทควันโด้และอาจารย์สอนในโรงยิมของพ่อเค้านั่นแหละ สืบทอดต่อกิจการว่างั้น ทั้งคู่รู้สึกจะสายดำดั้ง 4
เพื่อนเราแม้ว่าจะเรียนอยู่แต่หลักๆในทุกๆวันจะสอนอยู่ที่ยิมมากกว่า ว่างก็ไปเรียน แต่ก็ไม่ค่อยเรียน จริงๆควรจบตั้งนานแล้ว แต่ย้ายม.ไปมาแล้วก็ดร็อปบ้างเรียนน้อยบ้าง เก็บหน่วยกิจไม่พอเลยไม่จบซักที แต่ก็นะ สอนก็ได้เงินอ่ะ เรียนไปทำไมถ้ามีงานแล้ว บ้านก็มีแล้ว รถก็มีแล้ว ปริญญาจะเอาไปทำไม 5555 (เพื่อนพูดเองนะ ฉันไม่ได้หนับหนุนนน)
ส่วน Tommy ก็เป็นเพื่อนคนเวียดนามแท้ที่ย้ายจากเวียดนามไปเรียนอยู่สิงคโปร์ช่วงมัธยมแล้วก็ย้ายไปเรียนมหาลัยที่เมกา วันๆก็ไปเรียน ทุกเย็นก็จะไปช่วย Alex ที่ยิม หาเงินเพื่อจ่ายค่าเช่าตัวเองนั่นเอง ทำงานให้เค้า ได้เงินจากเค้า ก็จ่ายคืนเค้าอยู่ดี เอ้อ แต่ก็ได้เงินเก็บเพิ่มจากที่มันได้รายเดือนจากที่บ้านหล่ะนะ
โอเค จบเรื่องเพื่อน มาวันถัดไป จู่ๆเพื่อนผู้หญิงเราที่ชื่อ Yaniz (ยา-นีส) ถามว่าสนใจไปช้อปด้วยกันมั้ย ก็เลยโอเค ไปก็ได้ โดยเพื่อนผู้หญิงที่มารับเราวันแรกที่ชื่อ Paola (เพ-โอ-ล่า) เป็นคนมารับ ไปมอลไหนจำไม่ได้ แต่เราก็ไม่ได้ช้อปอะไรมาก เพื่อนมากกว่าที่ซื้อของ อารมณ์ Girls’ day out อย่างแท้จริง แต่นี่สายแมนหน่อยไง เลยรู้สึกแปลกๆ แต่ก็เม้ามอยสนุกดี ฮ่าาาา บ่ายๆก็เอา Yaniz ไปส่งทำงานส่วนเราก็กลับบ้าน Paola ก็มาด้วย มานั่งเล่น บ้านเพื่อนเรานี่เป็นบ้านเปิดอย่างแท้จริง ไม่เคยเห็นบ้านว่างเลยจ้า คือขนาดตอนนั้นเพื่อนเราออกไปทำงานหมดแล้ว แต่ก็มีเพื่อนคนอื่นเฝ้าบ้านให้แทน นั่งเล่น PS4 กันอย่างเมามันส์ เปิดเพลงลั่นบ้าน ทำตามใจชอบสุด แล้วเจ้าบ้านก็ไม่ว่าด้วย 555555 พอตกดึกก็มีคนทำอาหารให้กิน (เพื่อนมาทำอาหารให้ที่บ้านแล้วก็กินด้วยกันเกือบทุกวันเลย! มันไม่ค่อยกลับบ้านกันเท่าไหร่) แล้วก็เปิดวงเหล้าเฉย เออ บ้านชายฉกรรจ์สุดๆ ไม่มีคำบรรยายใดๆที่เหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว (แม้ว่าจะมีเพื่อนผญบ้าง แต่ต่อวันมีรวมกันไม่เกิน 4 คน ผชนี่เกือบ 10)

เกือบทุกๆวันเราก็จะเป็นแบบนั้น สมาชิกร่วมวงยามกลางคืนก็มีสลับสับเปลี่ยนบ้างนิดหน่อย แต่ก็จะหน้าเดิมๆ มีวันนึงที่เปลี่ยนคนทำอาหารเป็นเราแทน เราทำอาหารและเลี้ยงแอลกอฮอลแก่เจ้าบ้านและเพื่อนๆทุกคน ที่ต้อนรับเราอย่างดีมากๆ แบบเราจะไปไหนก็ไปรับไปส่ง ข้าวเขิ้วเราไม่เสียตังเลยซักกะดอล ให้กินทุกอย่างในตู้เย็นและทำอาหารให้กิน ให้ร่วมวง ฟรีจนไม่รู้จะฟรีไปไหน เงินแทบไม่ได้หยิบออกจากกระเป๋าจนแทบลืมว่ามีเงินเหลือเท่าไหร่เลยทีเดียว
แต่ก็มีอยู่สองวัน ที่เราเข้า Boston เพื่อไปเจอเพื่อนก๊วนเดียวกันจากมหาลัยที่ก็ไปทำเวิร์คฯเหมือนกัน วันนึงไปดูเกมเบสบอส Red Sox ด้วยกัน (เลือกตั๋วราคาประมานคนละ $38 ไป) ส่วนอีกวันไปเดินเล่น Harvard & MIT เม้ามอยกันอย่างมันส์มาก และถ่ายรูปรัวๆ ไม่มีไรให้เล่าละ ตามไปดูรูปละกัน ฟิ้วๆ





































ในการเดินทางจาก Worcester เข้า Boston นั้นเราไปขึ้นรถไฟ MBTA Commuter Rail ไป ราคาต่อเที่ยวตกอยู่ที่ $11.50 (ไป-กลับก็ $23) โดยการซื้อผ่านแอพ MBTA mTicket แล้วก็แค่กด activate แล้วแสดงตั๋วให้จนท.ดูตอนเค้าเดินมาตรวจ ถ้าซื้อโดยจ่ายสดบนรถไฟจะตกอยู่ที่ $13.50 ต่อเที่ยว ที่ราคาเท่านี้ก็เพราะเมืองที่เราอยู่เป็นเมืองสุดท้ายของสายรถไฟ Worcester/Framingham จาก Boston South Station นั่งไปราวๆชั่วโมงนิดๆ ถ้าอยู่สถานีที่ใกล้บอสตันกว่านี้ก็จะถูกกว่านี้
ส่วนการเดินทางด้วย bus หรือว่า subway จะสามารถซื้อบัตร Charlie card ที่เป็นบัตรแข็งมาใช้ก็ได้ สะดวกดี ไปซื้อบัตรได้ที่ซุ้มตามสถานีต่างๆใน Boston หรือแม้ตามเมืองต่างๆที่มีระบบนี้ก็ได้เช่นกัน เค้าจะมีขายหลายที่ ไม่ใช่แค่ที่สถานี ตามห้องสมุดหรือมหาลัยบางทีก็มีขาย แต่ออกบัตรจากตู้ออกตั๋วไม่ได้นะ อันนั้นได้แค่ซื้อตั๋ว Charlie ที่เป็นแบบกระดาษแข็งเฉยๆ มันจะใช้ได้เป็นเที่ยวๆหรือรอบไป แต่ถ้าเงินใกล้หมดก็เติมได้ แล้วมันจะออกบัตรใหม่มาให้ จะระบุตัวเลขเงินที่เพิ่มเข้าไปใหม่ ซึ่งเจ้าบัตรทั้งสองแบบนี้ใช้ได้ใน public transportation ทุกรูปแบบในหลายเมืองในรัฐ แต่เราไม่แน่ใจว่าที่ไหนบ้าง รู้แค่ Worcester กับ Boston ที่เราคุ้นเคยเท่านั้นแหละ

ระบบของเค้าจะไม่เหมือน New York ที่ราคาเดียวตลอดสาย ที่นี่จะคิดแบบ BTS/MRT บ้านเราเลย ตามระยะทาง ก็ต้องเติมเงินไว้พอประมาน ใกล้หมดก็เติม พอเป็นแบบนั้นแล้วเงินเราก็หมดแบบไม่รู้ตัว เพราะเติมเอาๆแบบไม่คำนวนราคาไว้ล่วงหน้าแบบตอนอยู่ NY ที่นับเป็นเที่ยวๆเลย 555 ส่วนระบบ bus หรือ subway, commuter rail เป็นไงนั้นเราไม่ลงรายละเอียดละกันนะ เสิร์ชเอาเองเหอะ ยังไงก็ไม่ยากหรือซับซ้อนเท่าญี่ปุ่นแน่นอน
เข้าสู่โค้งสุดท้าย ณ Worcesterในคืนสุดท้ายที่เราอยู่ที่บ้านเพื่อน จริงๆวันถัดไปเรามีไฟลท์ตอนราวๆ 8 โมงเช้า book shared van ให้มารับตอนตี 5 แต่คืนนั้นเราไม่ได้นอนจ้า คือจู่ๆทุกคนก็คึก บอกจะเลี้ยงส่งๆ เรียกเพื่อนให้มาเยอะที่สุดเท่าที่จะเรียกได้ แล้วก็ไม่ยอมให้เรานอน บอกว่ามาใช้เวลาด้วยกันจนถึง last minute เถอะ เป็นเพื่อนใหม่กันทั้งที
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรมากเลย แค่แฮงเอ้าท์กันตามปกติที่บ้าน กินข้าวตั้งวงดื่มนิดหน่อย แล้วราวๆ 5 ทุ่มเพื่อนบางคนก็ลากลับบ้าน แต่พวกที่เหลือก็ลากเราออกไปนั่งเล่นที่ร้านบารากุจนถึงร้านปิดตี 2 ทั้งๆที่ตอนแรกเราปฏิเสทแล้วก็จะกลับไปนอนแล้ว แต่ก็นั่นแหละ ผู้หญิงคนเดียวจะไปชนะกำลังผู้ชายเกือบสิบคนที่มาหิ้วปีกขึ้นรถได้ไงหล่ะ… หลังจากร้านปิดก็กลับไปบ้าน นั่งชิวเล่นเกมคุยเล่นกันจนประมานตี 3 เพื่อนๆก็แยกย้ายร่ำลาเราแล้วก็กลับบ้านจนได้
แต่!! เจ้าบ้านทั้งสองคนก็ไม่หยุดอีก สองชั่วโมงก็ไม่ให้เรานอน ย้ำเราว่าขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องนอนแล้ว เอาเครื่องดื่มชูกำลังมาให้เราอีกต่างหาก แต่ตัวพวกมันเองบอกว่าจะนอนแม้ว่าวันถัดไปจะไม่มีงาน ร่ำลาเสร็จก็ทิ้งเรานั่งงงอยู่ที่ห้องนั่งเล่นจ้า อ้าว… ไรฟระ! บังคับนี่ให้ตื่นแต่ตัวเองไปนอนเฉย ไอ้เพื่อนเวรร (แต่ให้อภัย เพราะต้องขอบคุณทั้งสองที่คอยดูแลและให้พักฟรีตลอด 7 วันล่ะนะ 555)
สุดท้ายเราก็ไม่นอนจริงๆแหละ มันเลยจุดที่ง่วงไปแล้ว ก็แค่อาบน้ำแต่งตัวแล้วก็แบกกระเป๋าลงไปไว้หน้าบ้านเลย พอตอนรถมารับตี 5 ก็ไปทุบประตูแกล้งปลุกเพื่อนทั้งสองที่เพิ่งได้นอน 555555 ร่ำลาเป็นรอบสุดท้ายแล้วก็บายจ้า ไปสนามบิน!
สถานีถัดไป San Francisco & Los Angeles!
จะเป็นยังไงไว้มาต่อตอนหน้านะ 🙂
-บีบีไงจะใครหล่ะ