ด้วยความที่พิมพ์ไปพิมพ์มาแล้วมันยาวมาก จะทำการแบ่งเป็น 3 ตอนนะจ้ะ
ตอนที่ 1 – รายละเอียดแผนการเดินทาง + ค่าใช้จ่ายเบื้องต้น, Orlando, Raleigh
ตอนที่ 2 – New York, Worcester & Boston
ตอนที่ 3 – San Francisco, Los Angeles
“เที่ยวคนเดียวแล้วไงอ่ะ” ตอนที่ 1
เราเคยไปอเมริกามาก่อนหน้านี้แล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกเพราะเป็น High School Exchange ส่วนมากโฮสเลยจะพาเที่ยว ครั้งที่สองเป็น University Exchange แล้วมีปัญหาแพลนไม่ตรงกับเพื่อนคนอื่น เลยเที่ยวคนเดียว และนั่นทำให้เราพบว่าการเดินทางเที่ยวคนเดียวในอเมริกามันไม่ยากอย่างที่คิด และไม่ได้อันตรายเกินไปด้วยถ้าเราดูแลตัวเองดีดี พอครั้งนี้เราเลยมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า 30 วันที่เหลือของวีซ่าหลังเวิร์คฯ ไม่ว่ามีเพื่อนหรือไม่มี ไหนๆก็ไปเวิร์คคนเดียวแล้ว เราจะเที่ยวอย่างเต็มที่ อยากจะไปไหนก็จะต้องได้ไป!
แต่ก่อนที่เราจะเข้าสตอรี่การเดินทางของเรานั้น เรามาดูรายละเอียดการเดินทาง ที่พัก และค่าใช้จ่าย กันดีกว่า (เราเชื่อว่าเรื่องเงินเรื่องใหญ่ จริงมั้ย?)
ก่อนไปเวิร์คฯเราก็ได้คิดคร่าวๆว่าเราจะไปเมืองไหนบ้าง ซึ่งก็ได้มาว่าเราจะไปเที่ยวทั้งหมด 5 เมือง ซึ่งพอตอนที่ไปเวิร์คจริงๆจู่ๆมีแผนเพิ่มอีก 1 เมือง ตัวการคือกวางดาวเจ้าเดิม นางอยากได้เพื่อนไปดิสนีย์ แล้วก็เลยได้แผนและวันที่การเดินทางมาคร่าวๆแบบนี้
พอช่วงสิ้นเดือน 7 – ต้นเดือน 8 เราก็ได้ทำการแพลนวันที่เดินทางและกดจองตั๋วเดินทางรัวๆ (เงินปลิวไปในพริบตา) หลักๆจะนั่งส่องราคาตั๋วถูกๆจาก Sky Scanner เอา แล้วก็ได้ itinerary มาตามด้านล่างนี้
- 16 AUG 2.30 PM | Charleston, SC to Orlando, FL – Greyhound Bus $47
- 18 AUG 5.30 PM | Orlando, FL to Raleigh, NC – Southwest Airlines $70.98
- 24 AUG 5.50PM | Raleigh, NC to Newark, NJ – United Airlines $86.10
- 28 AUG 7.10 AM | New York City, NY to Worcester, MA – Greyhound Bus $38
- 4 SEP 8.20 AM | Shared Van to Airport – Worcester Airport Limousine $68 Boston, MA to San Francisco, CA – Southwest Airlines $176.98
- 8 SEP 5 PM | San Francisco to Los Angeles, CA – Virgin Airlines $58.10
- 13 SEP 1.30 AM | Los Angeles to Taiwan to Bangkok – China Airlines
Net Total = $545.16 หรือ ราวๆ 20,000 บาท
เดินทางเยอะขนาดนี้แต่ค่าเดินทางแค่สองหมื่นถือว่าก็ถูกอยู่นะเฮ้ยยย (คิดเอาเอง) ตั๋วบินที่เรากดมาได้แต่ละรอบคือก็ถูกมาก ถ้ามองจากการจองล่วงหน้าเพียงแค่ไม่กี่อาทิตย์ก่อนวันเดินทางจริง แต่อย่างว่า นี่ก็ยังไม่นับค่าเดินทางยิบย่อยเวลาขึ้น bus ขึ้น metro หรือ Uber/taxi อ่ะนะ 555555
ถ้าจาก itenerary ด้านบน จะสังเกตุว่าตั๋วเดินทางเราจะมีแฉลบไป Newark แทนที่จะลง New York อันนี้เป็นเพราะเรื่องถัดไปที่จะบอก ก็คือเรื่อง ที่พัก นั่นเอง
อย่างที่บอกไปในตอนต้นว่าเราเคยไปอเมริกามาแล้วสองครั้ง นั่นทำให้เรามีคนรู้จักที่เป็นท้องถิ่นอยู่ค่อนข้างเยอะมาก และในเมื่อเราจะไปแวะหาคนเหล่านั้น เช่นโฮสแฟม หรือเพื่อนเราจากตอนแลกเปลี่ยนมหาลัยฯ เราก็เลยใช้วิธีถามเค้าว่าเราจะไปพักกับเค้าได้มั้ย แน่นอนว่าฟรี แต่เราก็พยายามช่วยเค้าทำงานบ้าน ทำอาหารเลี้ยงข้าวอะไรแบบนั้นเป็นการตอบแทน
ในส่วนเมืองอื่นๆที่เราขอคนที่รู้จักของตัวเองไม่ได้ ก็ได้ความช่วยเหลือจากแม่ค่ะ แม่เรามีเพื่อนเยอะมาก และพอแม่วนๆถามไปเรื่อยๆ ก็ได้เรื่องมาว่ามีเพื่อนแม่ คนรู้จักของเพื่อนแม่ หรืออะไรแบบเนี๊ยะ อาศัยอยู่ที่เมืองที่เราจะไปทั้งนั้น ก็เลยไปขอรบกวนพักด้วย ซึ่งเค้าก็ใจดีกันมากๆ ให้เราพักฟรี แถมยังพาเราเที่ยว ไปรับไปส่ง และเลี้ยงข้าวอีกต่างหากกกกกก กราบขอบพระคุณสปอนเซอร์ที่พักทุกท่านมา ณ ที่นี้ค่ะ เมื่อมีโอกาสแล้วจะตอบแทนแน่นอน 🙂
สรุป นอกจากที่พักที่ Orlando ที่ไปเที่ยวกับเพื่อนแล้วนั้น ที่อื่นที่เราไปเที่ยวคนเดียวคือ พักฟรีทั้งหมด เลยจ้า (ที่บอกไปตอนก่อนหน้านี้ บินไปลง Newark เพราะบ้านคนรู้จักอยู่เมืองนั้น ข้างๆ NYC เลย นั่งรถไฟเข้าไปได้) ประหยัดค่าที่พักไปเป็นพันเป็นหมื่น เงินที่มีเหลือก็เอาไปช้อปสิจะรออะไร ครุคริ แต่ถ้าใครมีคนรู้จักไม่เยอะแบบเราก็ลองเช็ค Booking.com หรือ Airbnb อะไรพวกนั้น ถูกสุดส่วนมากก็จะเจอเป็นสไตล์ dorm หรือ hostel ต่างๆนาๆ
หลังจากวางแผนและจองตั๋วการเดินทางบวกจัดการเรื่องที่พักเสร็จสรรพเรียบร้อย ขั้นถัดไปก็เตรียมเงิน(ที่แทบไม่เหลือ)ให้พร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันเลยค่ะ!
1st destination ของเราก็คือ Orlando, Florida นั่นเอง เป็นทริปสั้นๆ 2 วัน 2 คืนที่ไปกับกวางดาว นน แล้วก็บิว ก่อนที่ต่างคนจะต่างแยกย้ายไปตามทริปที่แพลนกันเอง
พวกเราเริ่มการเดินทางโดยการไปนั่งบัส Greyhound จาก Charleston ประมานบ่าย 2 เพราะเช้าวันนั้นพวกเราจัดการเคลียร์/เช็คเอ้าท์บ้านก่อน ใช้เวลานั่งบัสโดยประมาน 8-9 ชั่วโมง มีความทรมานเล็กน้อย เพราะผดส.เต็มรถและพวกเราดันได้ที่นั่งติดห้องน้ำในช่วงแรก นอนดมกลิ่นกันแทบตาย เอาแจ็กเก็ตปิดจมูกตลอดเวลา 5555 แต่โชคดีว่าพอตอนพักเปลี่ยนรถมีคนลงจากรถพอสมควร เราก็เลยทำการย้ายที่นั่งกันได้กลางๆคันหน่อย ถึงจะยังได้กลิ่นห้องน้ำอยู่แต่ก็ยังดีกว่า
พวกเรา 4 คนจองที่พักแยกกัน เพราะบิวกับนนจะอยู่ที่ออแลนโด้หลายวัน พอถึงที่หมายเราก็ขึ้น Uber แยกไปตามที่พักของตนเอง ไปถึงที่พักราวๆ 5 ทุ่ม เที่ยงคืน โดยการจองผ่าน Airbnb ไว้ล่วงหน้า เป็นห้องพักแบบอยู่ร่วมกับเจ้าของบ้าน ราคาสองคนสำหรับสองคืนคือ $106 ตกคนละ $56 ก็เป็นราคาที่โอเคนะสำหรับที่พักใกล้ Disney ตก $28 ต่อคืนเอง
เราได้คุยกับเจ้าของบ้านเรียบร้อยว่าจะเข้าไปดึก เค้าก็โอเค เพราะเค้าก็คงกลับดึกเหมือนกัน เค้าให้รายละเอียดการเข้าบ้านมาให้ทุกอย่าง คือพวกเราได้ที่พักอย่างดี บ้านเค้าอยู่ในหมู่บ้านที่เซฟตี้มาก คือตอนเช้าเกทจะเปิดทิ้งไว้ แต่พอตกกลางคืนต้องกดรหัสเพื่อเข้าเท่านั้น ส่วนประตูบ้านก็ต้องกดรหัสเหมือนกัน อารมณ์เป็น apartment house สีขาวสะอาดตาสองชั้น ชั้นล่างมีห้องนอน 2 ห้อง มีห้องนั่งเล่นกับครัวเปิดเป็นเคาน์เตอร์บาร์อยู่ ส่วนชั้นบนก็มีห้องนอน 2 ห้อง ห้องน้ำส่วนกลางอีก 1 ห้อง และห้องที่มีเครื่องซักผ้า ฯลฯ อื่นๆอยู่ ทุกอย่างใช้ได้หมดเลย คือสวยและดีงามฝุดๆ อยากได้บ้านแบบนี้บ้าง
ห้องพักทุกห้องนี่จะบิดประตูเข้าก็ต้องกดรหัสนะ security แน่นหนาเหลือเกิน ตั้งแต่เกทยันถึงห้อง 555555 พวกเราได้ห้องชั้นบน พอปลดล็อกเข้าไปเท่านั้นแหละ กระโดดเด้งด้วยความตื่นเต้นด้วยกันทั้งคู่ เพราะแม้ห้องจะเล็กแต่ก็พื้นที่พอใช้สอยตามปกติและ cozy มาก นอนได้ 3 คน มีเตียงสองชั้นอยู่หนึ่งเตียง และเตียงเดี่ยวอีกหนึ่ง มีตู้เก็บเสื้อผ้าที่มีผ้าเช็ดตัวให้หยิบใช้ได้และมีโต๊ะเล็กๆกับเก้าอี้อยู่หนึ่งชุด บนโต๊ะคือกรอบรูปที่แปะรหัส Wifi
ที่เราชอบมากคือผ้าห่มเค้า ผ้าห่มขนนุ่มๆอุ่นๆคือที่สุด นอนที่บ้านอีดิสโต้มาสามเดือน ไม่ได้สัมผัสผ้าห่มและเตียงที่นอนสบายขนาดนั้นมานานมาก ตอนเช้านี่คือไม่อยากลุกไปเที่ยวเลย อยากนอนเฉยๆไม่ไปไหนให้เปลืองตัง อยู่ให้คุ้มค่าที่พักแทน 555555555
แต่ไปถึงทั้งที ก็ต้องลุกไปเที่ยวล่ะเนอะ ในตอนเช้าพวกเราก็เรียก Uber เตรียมตัวไปเที่ยว Disney World กันจ้า ไปเมืองนี้ก็เพราะเหตุนี้เลยจริงๆ คุณกวางดาวขอมา แล้วพอดีเรามีเพื่อนคนไทยที่ทำอยู่ที่นั่นด้วย (ไม่ใช่ WAT นะ) ก็เลยไปขอเพื่อนให้ช่วยพาเข้าฟรีหน่อย ประหยัดไปเยอะ แม้ว่าจะมีคนทำตัวเป็นปัญหาก่อกวนทำให้เพื่อนเราโกรธในภายหลัง… แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดีล่ะนะ #แต่ก็ช้ำใจและเสียใจบวกสำนึกผิดมาจวบจนปัจจุบันTT
เอนี่เวย์ วันนั้นเราก็พยายามจะไล่เก็บกันให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยการไป Hollywood Studios ก่อน แล้วก็ไป Epcot และสิ่งที่พลาดไม่ได้คือการไปดูพลุที่ Magic Kingdom หลังจากนั้นก็แว้บไป Disney Springs เป็นที่สุดท้ายก่อนกลับ
ไม่เล่ามาก ให้ดูรูปที่ใส่แคปชั่นแล้วกัน

























เอาจริงๆ ส่วนตัวเราไม่ใช่คนที่อินกับ Disney ขนาดนั้น เราเลยรู้สึกค่อนข้างเบื่อ เครื่องเล่นก็ไม่ได้มันส์เท่าไหร่ เวิร์คสุดก็คงเจ้า Tower of Terror ตื่นเต้นดี แต่คือเราไป Carowinds ขึ้น Roller Coaster มาอย่างสนุกสนานในเดือนก่อนหน้านั้นไง ระดับความตื่นเต้นกับ Disney เราเลยไม่ค่อยมาก เรามันพวกสายตะลุยเครื่องเล่นหวาดเสียว(สุดๆ)มากกว่า แต่ก็จะมีดี๊ด๊าตอนเดินไล่ดูตุ๊กตาตามช็อปเหมือนกันนะ กรี้ดสุดก็คือตอนสอยเจ้าหนู Stitch มาไว้ในอ้อมกอดนั่นแหละ 55555555
วันนั้นก็จบวันแบบอินกับพลุมากที่สุด เพราะพลุสวย magical จริง เชื่อแล้ว แต่พอวันถัดไปในตอนเช้า ที่พวกเรานัดกันไปเดินเล่นกินข้าวที่ Universal Studios CityWalk ก่อนแยกย้ายนั้น รู้สึกผิดหวังกับ Disney เฉยเลย เหมือนเราอินกับความ Universal มากกว่า 5555555 แต่ก็อาจเป็นเพราะตอนปี 2010 เราเคยไปเที่ยวเล่น Universal Studios Hollywood ด้วยแหละ ตอนนั้นรู้สึกสนุกมาก แล้วมันก็ได้ฟีลลิ่งแบบสัมผัสสิ่งที่เราคุ้นเคยอะไรแบบนั้น







จากตรงนั้นไม่นานเราก็ปลีกตัวกลับที่พักเพื่อไปเอากระเป๋าและตรงดิ่งไปที่สนามบินเป็นคนแรก เป็นการเริ่มต้นทริป solo ของตัวเอง และเป็นการเริ่มต้นทริปที่ทำใจสั่นมาก วางแผนเดินทางล่วงหน้าไว้แล้วเกือบ 2 ชั่วโมง แต่รถดันติดแบบโคตรๆ โคตรชนิดว่าคนขับ Uber เองยังแปลกใจ คือตอนนั้นยังไงก็ตกเครื่องแน่ๆ ประสาทเสียแต่ก็ยังมีสติพอที่จะคิดถึงว่าถ้าไปถึงสนามบินจะรีบจัดการขอขึ้นไฟลท์ถัดไปทันที จ่ายเพิ่มอะไรยังไงค่อยว่ากัน แต่ฉันจะต้องได้บินเพราะนัดกับ host family ไว้ให้มารับ
แต่ตอนนั้นก็ค่อนข้างลนมาก นั่งขาสั่นอยู่บนรถแล้วก็โทรคุยอยู่กับกวางดาวเป็นช่วงๆ แต่แล้วก็สวรรค์ทรงโปรด มีอีเมลแจ้งมาว่าไฟลท์ดีเลย์ไปเป็นชั่วโมงจ้าาาา โอ้โห หัวใจเกือบวายตายไปแล้ว แต่ก็ยังวางใจไม่ได้ เพราะก็ไม่รู้ว่าถึงไฟลท์จะดีเลย์ แต่เราจะไปถึงก่อน boarding มั้ย จะเช็คกระเป๋าเข้าไปทันรึเปล่า
ทันทีที่ถึงสนามบิน นี่ก็วิ่งจ้ำอ้าวไปเช็คอินกระเป๋าอย่างรีบร้อน จนท.ก็แจ้งเราเลยว่าเค้าจะพยายามเอากระเป๋าเราไปขึ้นเครื่องให้ทัน แต่ไม่รับประกัน เพราะจริงๆเค้าให้เช็คกระเป๋าก่อนบอร์ด 45 นาที – 1 ชั่วโมง แต่ตอนนั้นเหลือเวลาแค่ 30-40 นาทีแล้ว เราก็แบบเออๆไม่เป็นไร ถ้ามันต้องตามไปก็ค่อยเคลม (แม้ว่าอีกใจก็กระวนกระวายว่าเป๋าตูจะหายมั้ยก็ตาม) หลังจากนั้นก็วิ่งไปที่ security check จ้า
แต่อุปสรรคมันก็ไม่จบไม่สิ้น แถวยาวมาก!!! คนเยอะเว่อร์ เยอะไร้คำบรรยาย เกิน 30 นาทีแน่ๆ ฉันจะไปทันมั้ย จะตกเครื่องที่อุตส่าห์ดีเลย์แล้วอีกมั้ย โอ้ยยย ประสาทจะแดกกกกก แต่พอเราไปถึงประมานต้นแถว จนท.เค้าเปิดช่องเช็คเพิ่มพอดีจ้า นี่วิ่งเลย ผ่านฉลุยไม่ต้องดูอะไรทั้งนั้น แล้วก็สปริ้นท์ 200 เมตรไปที่เกท
“We are now boarding all passengers…”
ป้าดดดดดดด มาได้ทันเวลาพอดี เหงื่อไหลเป็นทางเลยจ้า สรุปก็ขึ้นเครื่องทันแบบเฉียดฉิว ไม่มีการนั่งรอใดๆทั้งสิ้น วิ่งไปถึงเกทก็เดินขึ้นเครื่องต่อไปเลยค่า
อุปสรรคจะถาโถมหนักหนาอะไรปานนี้ นี่แค่เริ่มต้นก็ขนาดนี้ ต่อไปจะขนาดไหนหนอออ แต่ก็ยังดีที่ผ่านพ้นมันมาได้ทุกด่าน แต่เอาลุ้นสะอดรีนาลีนหลั่งอย่างบ้าคลั่งเลยทีเดียว ตื่นเต้นกว่าดูหนังบู๊อีกคุณคะ
2nd destination ที่เราบินไปหลังจากผ่านมรสุมทั้งหมดมานั้นก็คือ Raleigh, North Carolina จย้า (ไปถึงอย่างสวัสดิภาพพร้อมกระเป๋าครบถ้วนไม่มีขาดหายหรือดาเมจแต่อย่างใด ฟู่วววว)
ที่เราเคยไป exchange มาตอนม.4 (2009-2010) แล้วอยู่กับ host family คือตอนนั้นอยู่เมือง Toledo รัฐ Ohio แต่ host เราเค้าย้ายบ้านไปที่เมืองนี้ตั้งแต่ประมานปี 2013 เราเคยไปเยี่ยมเค้าแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี 2014 ที่เรา exchange ตอนปี 3 เทอม 1 ตอนนั้นนอนเล่นเฉยๆไม่เที่ยวเลยตั้งเดือนนึงแนะ แต่รอบนี้แวะเป็น first stop ของทริป ระยะสั้นๆ 1 อาทิตย์ให้หายคิดถึงเฉยๆ
เอาจริงไปหาโฮสท์ก็คือเหมือนกลับบ้าน มัน always feel like home เราพูดได้เต็มปากว่ามันคือ 2nd home ของเรา และ Host Mom ทั้งสองของเราก็เปรียบเสมือนแม่คนที่ 2 และ 3 ของเราจริงๆ (ใช่ โฮสท์เป็นหญิงทั้งคู่ ว่าง่ายๆก็เบี้ยน แต่ทั้งคู่ก็เคยแต่งงานกับผู้ชายและมีลูกนาจา)
เราไม่มีแผนเที่ยวใดๆ ไม่ได้คิดไปไหนเลย หนึ่งอาทิตย์ที่อยู่ก็คือนอนเล่น ดูทีวี ว่ายน้ำ กินอาหาร home made ที่มัมทำอย่างเอร็ดอร่อย คือ relax อย่างเต็มอิ่มกับโฮสท์มัมทั้งสองและเจ้าหมาไปจย้า เหมือนเป็นการพักผ่อนจริงๆหลังจากผ่านช่วงเวลาการทำงานและใช้ชีวิตอย่างสุดโต่งมาตลอด 3 เดือน





มัมทั้งสองก็ไม่ได้ว่าอะไรเราเลยที่นอนดึกตื่นสายทุกวัน เค้าบอกว่าแค่เรามาใช้เวลากับเค้า เค้าก็ดีใจกันมากแล้ว เพราะเอาจริงๆมีช่วงนึงเราเกือบจะข้ามแผนไม่ไปหาเค้าแล้ว แต่เค้าบอกว่ามาเถอะ ไม่ต้องวางแผนเที่ยวไหนก็ได้ มาอยู่บ้านเฉยๆก็ได้ อยากเจอ เราก็อ่ะๆ ไปก็ไป แล้วก็ดีที่ตัดสินใจไปหา เพราะเราก็คิดถึงความสโลว์ไลฟ์แต่ก็สนุกเวลานั่งคุยสัพเพเหระกับมัมทั้งสองเหมือนกัน
เพราะเหตุนั้น… รูปจึงแทบไม่ได้ถ่ายเลย 555555555555555 ก็แหม เหมือนอยู่บ้านอ่ะ จะถ่ายรูปทะมายยย #แล้วก็มานั่งเสียใจทีหลังจ้ะ
เราอยู่ที่บ้านมัมไป 1 อาทิตย์เต็มแล้วก็ถึงเวลาไปต่อ… ด้วยความที่มัมคนนึงทำงานอยู่ที่สนามบินอยู่แล้ว เค้าเลยบอกว่าเดี๋ยวไปรอเราที่สนามบิน ส่วนมัมอีกคนก็พาเราไปส่ง ปกติเวลาร่ำลากันคือน้ำตาไหลเป็นสาย จากกับมัมที่ไรมันอดร้องไห้ไม่ได้จริงๆ เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะได้เจอเค้าอีกเมื่อไหร่ มัมเองก็ร้องไห้เหมือนกัน 😦 แต่ก็นะ… ครั้งนี้ยังดี เพราะเรายังไม่ได้กลับไทยเลย เราไปเที่ยวก่อน การจากลากันก็เลยยังดีหน่อย น้ำตาไหลเล็กน้อย เพราะฟีลลิ่งว่าเรายังไม่ได้จะอยู่ห่างไกลไปเลย ยังอยู่ในประเทศนะ ประมานนั้น
พอถึงร่ำลากับมัมคนนึงที่มาส่งเสร็จ มัมที่ทำงานที่สนามบินก็มาพาเราไปเช็คอินแล้วก็เข้าเกท มัมเราคนนี้เป็นคนที่เฟรนลี่มากๆ และเค้าก็เหมือนภูมิใจกับเรามากๆด้วย ไปยืนเช็คอินก็อวดจนท.ว่าเราเป็นลูกสาวต่างชาติของเค้านะ เป็น exchange ที่เค้าเคยรับมา บลาๆๆๆ คือนี่ก็เขินไง แต่ก็รู้สึกดีใจที่มัมชอบอวดเรา อิอิ ❤ และด้วยความแบบนั้น จู่ๆก็ได้ส่วนลดค่ากระเป๋าเฉย จริงๆเพราะบิน United ต้องจ่ายสำหรับสองใบ แต่จนท.เค้าคิดเราแค่ใบแรกใบเดียว 555555 อภิสิทธิ์แค่ไหนถามใจเธอดูววววว 😛
หลังจากนั้นก็เดินไป security check ตามปกติ กระเป๋าเราโดนเรียกไปเช็คนิดหน่อยแต่ก็ไม่มีอะไร ผ่านไป มัมพาเราไปส่งนั่งที่เกทพร้อมกับอวดเรากับคนรอบข้างนิดหน่อยแล้วก็เดินกลับไปทำงานก่อน เพราะเครื่องบินเรายังไม่ขึ้น พอตอนเราใกล้ board มัมถึงเดินกลับมายืนรอส่งเราเดินเข้าเกทไปเลย ตอนแรกก็นึกว่าน้ำตาจะไม่ไหล แต่พอมัมกอดลาหน้าเกทแล้วเดินจากไปเท่านั้นแหละ เราเดินเข้าเกทแบบน้ำตาไหลพราก ไปนั่งร้องไห้บนเครื่องบินหยั่งกะคนบ้า 5555
การจากลาคนที่อยู่คนละซีกโลกกับเรานี่มันยากจริงๆนะ โดยเฉพาะกับคนที่เราผูกพันมากๆ เป็นเหมือนครอบครัวเรา เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะได้เจอเค้าอีกครั้งเมื่อไหร่ ไม่ได้ไปมาหาสู่กันง่ายๆ พิมพ์ไปแล้วก็น้ำตาคลอไป คิดถึงมัมจัง 😥 … แต่ถ้าเรามีความพยายาม เราก็จะได้เจอกันอีกแน่นอน เราจะกลับไปหามัมทั้งสองทุกครั้งที่มีโอกาส เพราะชีวิตคนเราก็สั้นนะว่ามั้ย… แล้วมัมทั้งคู่ก็อายุไม่น้อยแล้ว ก็เหมือนพ่อแม่เราเองนั่นแหละ ใช้เวลากับเค้าให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้เนอะ 🙂
ตอนที่ 1 นี้ก็ขอจบไว้เท่านี้ ไว้มาต่อในตอนที่ 2 นะ เราจะพาไปสโลว์ไลฟ์ที่ New York กับเมือง Worcester ที่เราเคยไปแลกเปลี่ยนมา บวกกับ Boston ที่อยู่ข้างๆกัน แต่ต้องเตือนว่ารูปไม่เยอะ เพราะไปสโลว์ไลฟ์ 555555555555555555
– บีบีไงจะใครหล่ะ