อย่างที่เคยกล่าวไว้ เมือง Charleston จะเป็นเมืองที่ใหญ่แล้วก็ใกล้เราจาก Edisto Island ที่สุดแล้ว และก็เป็นเมืองหลวงของรัฐนี้ด้วย มันก็เลยเป็นที่ๆเราไปบ่อยที่สุด ไม่รู้จะไปไหนก็เข้าเมืองเนี่ยแหละ ประมานว่าก็ชั้นอยู่บ้านนอกนี่เนอะ ชีวิตก็สงบสุขมีความสุขดี แต่ก็ขอได้เจอความซิวิไลซ์บ้าง
มีอยู่เรื่องนึงที่อยากกล่าวถึงก่อนสิ่งใดๆ เพราะเราคิดถึงมันมาก คือ ร้านอาหารเกาหลีเจ้าประจำของเราเอง
ในตอนที่เรามีรถละได้ไปดาว์นทาว์น (ทริป Myrtle Beach) เราได้แค่แวะกินข้าวร้านอาหารไทย กินไอติม แล้วก็เดินเล่นนิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้สำรวจเมืองอะไรมากมายเท่าไหร่ แต่จากวันนั้นแหละ พอดีเห็นว่าตรงข้ามร้านอาหารไทยมันมีร้านอาหารเกาหลีอยู่ ถึงเราจะคนไทย แต่ที่บ้านก็ทำอาหารไทยบ่อยแล้วไง อาหารเกาหลีเนี่ยไม่มี อยากกิน เวลาเข้าเมืองหลังจากครั้งแรกนั้นก็แทบจะพุ่งใส่แต่ร้านอาหารเกาหลีร้านนี้เลยจริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้ถูกเลยนะ (จริงๆราคาปกติสำหรับที่นู่นแหละแต่ก็นะ) นั่งหารกัน 3-4 คนก็ยังตกคนละ $20-30 55555
คือมันอร่อยมาก คุ้มค่าราคา และไซส์เซิร์ฟของมันก็โอ้โห ราคาแพงกว่าไทยหน่อยเดียวแต่คุ้มกว่ากันเบอร์แรงมาก ไม่อยากพูด แต่เพราะเป็นเหมือนออมม่า (แม่)/อาจุ่มม่า (ป้า) คนเกาหลีทำเองหรือเปล่า มันรสชาติโคตรโคเรีย รู้สึกว่าโคเรียกว่าที่กินตามร้านอาหารเกาหลีในไทยอีกค่ะคุณ ร้านดูแรที่โคเรียทาว์นก็ยังสู้ไม่ได้! คิดถึงมากฮืววววว ใครได้ไปเมืองนี้ในปีถัดๆไปแล้วอยากกินอาหารเกาหลีเราแนะนำร้านนี้จริงๆนะ !
เอาจริงก็ตลกดี กินอาหารเกาหลีทำไมต้องไปไกลถึงเมกาวะ ก็ไปเกาหลีเส้ เอ้อ 55555 /จริงๆคือตอนนี้มะมีตังบินไปแดกที่ประเทศเค้า
เรื่องกินผ่านไป เรื่องไหนต่อดี อืม… ไล่ตามแต่ล่ะครั้งที่เราเข้าเมืองละกัน
ครั้งแรกที่เราเข้าเมือง Charleston จริงๆคือวันที่ 4 ในการถึงบ้านอีดิสโต้ เราจำได้เลย เพราะมันเป็นวันที่เราได้นอนตอน ตี 5 แต่ออกจากบ้าน 8 โมง… วันนั้นทางเอเจนซี่หรือสปอรเซอร์พวกเรานี่แหละ ได้เช่ารถโค้ชให้พาพวกเราจากบ้านเข้าเมืองไปทำ social security card ตอนนั้นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายที่พวกเราทั้ง 20 คนได้เข้าเมืองพร้อมกัน
อ้อ แล้วมันก็เป็นวันเดียวกับที่เราได้เทน้องๆหลังจากทำ social กัน คือเราหนีไปเอ้าท์เล็ตก่อนโดยเรียก Uber แล้วบอกให้น้องตามมาทีหลัง ซึ่งน้องมันก็งงๆกันไงว่าแล้วต้องทำอะไรยังไงบ้าง นี่โดนน้องดุว่าเจ้ไม่ดูแลน้องเลย ปล่อยเกาะกันแบบนี้ได้ยังไง 5555555
วันนั้นก็ไปแค่ทำบัตร social แล้วก็ช้อปที่เอ้าท์เล็ตเนี่ยแหละ ไม่ได้ไปไหนมาก พอบ่ายโมงก็เป็นเวลานัดของรถโค้ชที่เค้าจองไว้ให้มารับพวกเรากลับบ้านละ
ครั้งที่สองก็คือวันที่จู่ๆ เรา กวางดาว บิว นน ว่างตรงกัน พวกคุณชายเค้าก็เลยชวนพวกเราเข้าไปห้างไปเดินเล่นในเมือง ก็เลยไป ที่แน่ๆ achieved มากตรงที่เจอร้าน Asian Grocery เนี่ยแหละค่ะคู๊ณ อาจเคยเห็นเราพูดถึงแว้บๆในซีรียส์ ด้วยความคิดถึง (2) ที่พูดถึงเรื่องของกิน ตุนวัตถุดิบจากที่นี่เนี่ยแหละค่ะ (แต่รูปมะมีอ่ะ #อ่าว)
ครั้งที่สามคือที่ไปทริป Myrtle Beach พร้อมกับพิดอก พินั้ม และเมย์ (บั่บว่ามีรถล้าววว) ตามไปอ่านและดูรูปได้ที่นี่
ครั้งที่สี่ เราเข้าเมืองไปกับพิดอก กวางดาว นน แล้วก็ บิว เข้าไปกินข้าว เดินเล่น แล้วก็ช็อปปิ้งน่ะแหละ แต่เสียหายมาก เสียหายเบอร์แรง สงสัยยังติดลมจากการช้อปที่เอ้าท์เล็ต ณ Myrtle Beach 55555 แต่รอบนี้ก็เป็นรอบที่ได้เดินเล่นมากขึ้นมา(นิดนึง) และพบว่าแค่ถนนถัดกันก็มีความแตกต่างกันได้มากอยู่นะยูว ถนนเส้นนึงคนเยอะ ดูมีชีวิตชีวา เดินมาอีกบล็อคก็คนละเรื่องแล้ว ดูเปลี่ยวและน่ากลัวเสียกะไรนี่ อีกเส้นก็เป็นย่านหรูสะงั้น เอ้อ 5555
วันนั้นเราตอนแรกเราก็เดินช้อปย่าน King St เนี่ยแหละ แวะพวก Forever 21, H&M, ร้านรองเท้า บลาๆ แต่แล้วเราก็พาทุกคนไปแวะร้าน Marshalls สำหรับคนที่ไม่รู้จัก ร้านนี้จะเป็นร้านทำนองแบบเอาของแบรนด์หลายๆแบรนด์มาลดแหลกนั่นเอง (off-price department store) คือเอาจริงๆเราก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันเพราะของมันตกรุ่น ค้างสต็อกหรืออะไร แล้วในเมื่อเมกามีกฏเรื่องห้ามขายของก็อป (ไม่งั้นก็โดนจับรัวๆแล้ว) เราเลยเชื่อว่าของแบรนด์ที่เอามาลดแหลกในร้านนี้ทั้งหลาย (ซึ่งก็ดันมี chain อยู่ทั่วประเทศอีก) มันเป็นของแท้ (มั้งนะ) แต่คือมันดีย์ มันดีย์มากจริมๆ

ลองคิดดู เราสามารถหารองเท้าผ้าใบ Nike รุ่นดีๆได้ในราคาเพียง $15 … แบบ คุณคะ 500 กว่าบาทเท่านั้น!! บ้าไปแล้วววว เครื่องสำอางค์ NYX, Urban Decay บลาๆ ก็มาลดเพียบ ยาทาเล็บ O.P.I, Essie ก็ถูกกว่าตาม Walmart, Target น้ำหงน้ำหอมยี่ห้อดังๆแพงๆเช่น Salvatore Ferragamo, Marc Jacobs, Davidoff, etc. ก็เอามายำราคาแหลก เคยเจอขวดแบบ 1000 ml. ในราคาแค่ 700 กว่าเท่านั้น
คือมันวดฟมาก เสื้อผ้า กระเป๋าทุกแบบ อุปกรณ์ออกกำลังกาย ของเล่น decor บ้าน บลาๆๆ คือมันดีจนไม่รู้จะดียังไงแล้ว มีทุกอย่างจริงๆ ก็เหมือนห้างๆนึงแต่ยำรวมไว้ในร้านเพียงร้านเดียว! (ร้านเล็กใหญ่แค่ไหนก็แล้วแต่สาขา)
ซึ่งมันไม่ได้มีร้านแบบนี้เพียงร้านเดียวนะจ้ะ ที่แนวๆเดียวกันก็จะมี T.J. Maxx, Kohl’s, Nordstrom Rack, Ross แล้วก็ Burlington Coat Factory (อาจมีมากกว่านี้แต่เราไม่รู้จัก) อ้อ แล้วก็มีคล้ายๆกันแต่ไม่ถูกเท่าละก็ขึ้นห้างเช่น Macy’s, JCPenny, แล้วก็ Sears อีกด้วยนะ (เช่นเดิม อาจมีมากกว่านี้แต่เรานึกไม่ออก)
[จดชื่อสะ ถ้าใครอยากได้ของแบรนด์แต่ถูกแรง บางทีถูกกว่าเอ้าท์เล็ตอีกค่ะยู! แต่ถ้าใครเป็นพวกใจอ่อน(มาก) ไม่สู้ราคา(ลดแหลก) เราไม่แนะนำให้เดินเข้านะ ถือว่าเตือนแล้วนะ ล้มละลายกลับบ้านนี่ไม่ใช่ความผิดเราแล้วนะ]
อ๋อๆ เพิ่มเติมอีกอย่าง เวลาเจอร้านใดร้านนึงแล้ว ในย่านตรงนั้นมันก็มักจะเป็นไม่ outdoor mall ก็ shopping plaza มันก็เลยมีร้านทำนองนั้นแหละ อยู่เรียงรายกันเป็นตับเลยจ้ะ เสียหายไปสิร้านต่อร้าน เข้าร้านนึง ออกมาไปเข้าร้านข้างๆ ออกมาก็เข้าร้านข้างๆต่อ พังๆๆๆ
เอ่อ นะ โอเค เนี่ยแหละ เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ทุกคนมาบ่นใส่เราว่าเราเป็นต้นเหตุที่ทำให้ทุกคนเสียตัง… แหะๆ (เราก็บาดเจ็บๆมั่กๆโลย)
ครั้งที่ห้า เราเข้าเมืองไปกับนนแล้วก็พินั้ม ไปเพื่อช้อป แบบตั้งใจจะไปช้อปเลยจริงๆ เพราะรอบก่อนนั่นแหละ ที่ได้แวะ Marshalls คุณพินั้มก็อยากโดน(เป๋าฉีก)บ้าง นนก็อยากซื้อของอีกก็เลยไปกัน 5555 แต่ก่อนนั้นก็ได้แวะห้างด้วยนะ ไปแวะห้างที่ไม่เคยแวะมาก่อน ซึ่งวันนั้นก็เสียหายมากเช่นกัน เราโดนไปเลย รองเท้าสองคู่กับของอีกกองใหญ่ๆ 55555555 #นั้มตาาา
ครั้งที่หก เกิดจากการได้คุยกับเพื่อนคนเมกันที่เราเคยเจอตั้งแต่สมัยไปแลกเปลี่ยนตอนม.ปลาย (ปี 2009-2010) แล้วก็ค้นพบว่าเพื่อนย้ายมาอยู่ที่เมืองนี้จ้าาา แจ็กพ็อตแตกกกก ไม่เจอกันร่วม 6 ปีก็เลยนัดไปเที่ยวกัน เพื่อนเราก็ขับรถมารับเราถึงบ้านแล้วก็พาไปดูต้นโอ้คที่แก่ที่สุดและเล่นน้ำทะเล ที่ดีที่สุดคือเพื่อนเลี้ยงทุกอย่างตั้งแต่ข้าวยันแอลกอฮล เพราะเงินเดือนมันดีมาก ($24-35/hr ขุ่นพระ) นี่ก็สบายไปค่ะ ไม่เสียตังซักกะบาท กร๊ากกกกกกกกก
ครั้งที่เจ็ด เป็นการเข้าเมืองที่น่าเศร้าใจยิ่งนักเพราะเราได้เสียรถฮุนไดสีแดงเราไปแล้ว แต่! เข้าเมืองรอบนี้กับกวางดาวเป็นการเข้าแบบกระทันหันยามค่ำเย็นเพื่อไปเอารถนัมเบอร์ 2 ที่เช่าแบบวันเดียวจ้าาาาา
ครั้งที่แปด ก็เป็นการเข้าเมืองแบบมีรถขับเองเป็นครั้งสุดท้าย และครั้งสุดท้ายที่มีพิดอกพินั้มด้วย รอบนี้เรากับกวางดาวพาเพื่อนทั้งสองเที่ยวก่อนที่จะส่งขึ้นรถบัสไปเที่ยวออแลนโด้แล้วก็กลับไทย
ครั้งที่เก้า เป็นครั้งสุดท้ายกับการเข้าเมือง Charleston เพราะมันคือวันที่เราเข้าไปสถานีบัสเพื่อนั่งรถต่อลงไปเที่ยว Orlando นั่นเอง (และก็เที่ยวต่ออีกร่วมเดือน 55555555)
หมดแล้ว จบแล้วกับการบันทึกความทรงจำที่มีกับเมือง Charleston ที่รักของเรา เอาจริงๆเราไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเราเข้าเมืองไปกี่ครั้งในรอบ 2 เดือนครึ่งที่ใช้ชีวิตทำงานอยู่ที่ Edisto Island เพราะบางทีเข้าเมืองก็ไม่ได้ถ่ายรูปอ่ะนะ ถ้าไม่มีรูปก็จะนึกไม่ออก พอดีไม่ได้จดอะไรไว้ 55555
แต่ก็จดมาได้คร่าวๆรวม 9 ครั้งที่เข้าเมือง เยอะอยู่นะ สำหรับการที่อยู่ห่างจากเมืองไปชั่วโมงนึงแล้วก็ไม่ได้เข้าง่ายๆเนี่ย แถมเข้าเมืองทีเงินก็ละลายที แต่ก็ไม่เสียดายนะ 555555555555
เป็นเมืองๆนึงที่เราคิดว่าถ้าให้ย้ายไปอยู่ก็อยู่ได้นะ น่ารัก ตึกสวย ฟ้าสวย แล้วก็เงียบสงบดี คนไม่เยอะมาก คนหลายเชื้อชาติมากๆด้วย ทั้งๆที่อยู่ค่อนทางใต้ของประเทศแล้วแท้ๆ แต่เราไม่ค่อยเจอเรื่องเหยียดสีผิวเท่าไหร่ หรือเพราะเราไม่ค่อยแคร์วะ ไม่รู้สินะ 555
จากที่ได้เล่ามาทั้งหมดนั้น เรารู้สึกว่ามีสองเรื่องที่อยากจะแยกออกมาเล่าให้ละเอียดกว่านี้ซึ่งก็คือ
1.ช้อปปิ้ง
เรื่องช้อปก็เรื่องใหญ่มากจริงๆนะ ไปเมกาก็เห็นมีแต่คนซื้อของ เราก็ซื้อ 5555 อย่างที่เกริ่นเรื่อง off-price department store ไปแล้ว จริงๆอยากจะลงรายละเอียดกว่านี้อีกซักหน่อย แล้วเรากะว่าจะมาบอกเล่าเรื่องแหล่งที่ซื้อของอื่นๆ ร้านค้าต่างๆ ตามหาซื้อของชนิดไหนที่ไหนได้บ้าง เรารู้สึกว่าเรามีทิปส์และทริคในการช้อปปิ้งในอเมริกาเยอะมากๆ และอยากจะแบ่งปัน คือมันเป็นการ save cost ด้วยนะ เราเคยได้แนะนำไปหลายๆคนและใช้เอง มันเวิร์คมากๆ แบบได้ของเยอะและคุ้มราคากว่าเพียงซื้อทั่วไป (คิดไปเองรึเปล่าก็ไม่รู้นะแต่ในเมื่อมันเป็นสาระเราก็อยากจะบอก ไร้สาระมามากแล้ว 5555)
2. การซื้อรองเท้า
อันนี้ถึงขั้นต้องแยกจากช้อปปิ้งธรรมดาอ่ะ เพราะเราเป็นคนนึงที่ชอบซื้อรองเท้ามาก คือเราเป็นคนที่รองเท้าเยอะมากๆ โดยเฉพาะรองเท้าผ้าใบ และอเมริกาก็เป็นประเทศที่รองเท้าถูกมาก ร้านก็เยอะมาก มีทริคในการซื้อให้ถูกลงด้วยนะ การไปเมกาครั้งแรกเราเคยมีรองเท้าถึง 26-28 คู่ การไปครั้งที่สองก็เกือบ 10 คู่ การไปรอบนี้ก็ประมาน 10 คู่ เช่นกัน รายละเอียดมียังไงไว้จะมาเล่าให้ฟัง
เรากะจะเขียนเป็นโพสแยกเลย ไว้ถ้าเขียนแล้วเราจะกลับมาอัพเดทลิ้งค์ให้อีกทีนะ 🙂
– บีบีไงจะใครหล่ะ